แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการจับกุมผู้เล่นการพนันขณะเข้าจับกุม ผู้เสียหายใช้กล้องถ่ายรูปผู้เล่นการพนัน ครั้นจะถ่ายรูปภาพที่สอง จำเลยที่ 1 ได้เข้าไปกระชากกล้องถ่ายรูปจากมือผู้เสียหายไป และต่อว่าผู้เสียหายพร้อมกับร่วมกับพวกกลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่ได้รับกล้องถ่ายรูปคืนดังนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง ลักษณะการกระทำของจำเลยจึงเป็นการฉกฉวยเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปซึ่งหน้าโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยไม่บรรยายว่า จำเลยที่ 1 กับพวกฉกฉวยพาทรัพย์หนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วยจะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยได้ในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคแรกเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,83, 91, 138, 289, 340 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4,5, 6, 12 และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 7,690 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 12(1) และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 83,336 วรรคหนึ่ง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานเล่นการพนันแปดเก้าโดยไม่ได้รับอนุญาตปรับ 1,400 บาท ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ จำคุก 2 ปีฐานวิ่งราวทรัพย์ จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 5 ปี และปรับ 1,400 บาทจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ. 2478 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 12(1) และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานเล่นการพนันแปดเก้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับคนละ 1,400 บาท ฐานต่อสู้ขัดขวาง เจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ 1,400 บาท จำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุกคนละ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์กล้องถ่ายรูปราคา 1,690 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นและคำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยที่ 2 และที่ 6ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 6ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(1)ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 6 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่และฐานวิ่งราวทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ตนเอง แต่ก็สมเหตุสมผลสอดคล้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกับพยานโจทก์อีกสองปากคือสิบตำรวจตรีชาตรี เทพณรงค์กับสิบตำรวจตรีนที หงษ์โต กล่าวคือในการจับกุมจำเลยที่ 1 กับพวกนั้น สืบเนื่องมาจากมีหญิงคนหนึ่งไปแจ้งแก่ผู้เสียหายเมื่อเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ของวันเกิดเหตุในขณะที่ผู้เสียหายปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานสายตรวจรถจักรยานยนต์ว่ามีผู้เล่นการพนันที่ห้องพักคนงานหลังร้านอาหารลูกเต๋าโดยมีสามีของตนร่วมเล่นอยู่ด้วยขอให้ไปจับ ผู้เสียหายวิทยุแจ้งขอกำลังมาสมทบแต่ก็ไม่มีจึงไปตามสิบตำรวจตรีนทีกับสิบตำรวจตรีชาตรีที่บ้านพักของข้าราชการตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอไทรน้อย และบอกเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นแจ้งว่ามีการเล่นการพนันที่ร้านอาหารลูกเต๋าให้เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองทราบ และจะต้องเข้าจับกุมจึงร่วมกันวางแผนการจับกุม ให้ผู้เสียหายเข้าด้านหน้าร้านโดยนำกล้องถ่ายรูปไปเพื่อถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานด้วย ส่วนสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีเข้าด้านหลังร้านแล้วจึงพากันเดินทางไปที่ร้านอาหารลูกเต๋า โดยขับรถจักรยานยนต์ตามกันไป เมื่อผู้เสียหายไปถึงทางเข้าร้านอาหารลูกเต๋า และมองกลับไปด้านหลังเห็นแสงไฟรถจักรยานยนต์ซึ่งผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นแสงไฟจากรถจักรยานยนต์ของเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองติดตามมา จึงจอดรถจักรยานยนต์ไว้ในที่จอดรถ แล้วเดินเข้าไปหลังร้านอาหารลูกเต๋าโดยไม่รอเจ้าพนักงานตำรวจด้วยกัน เพราะเกรงว่าผู้เล่นการพนันจะรู้ตัวก่อนประกอบกับด้านหลังร้านอาหารเป็นทุ่งนา ซึ่งผู้เล่นการพนันสามารถใช้เป็นเส้นทางหลบหนีได้ เมื่อผู้เสียหายเดินเข้าไปก่อนถึงประตูทางเข้าห้องพักคนงานได้ยินเสียงคนหลายคนพูดกันลักษณะกำลังเล่นการพนันครั้นเดินถึงประตูทางเข้าก็มองเห็นกลุ่มชายหญิงประมาณ 20 คน กำลังเล่นการพนันกันอยู่ ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากแสงไฟฟ้าในห้องที่เล่นการพนัน ผู้เสียหายเห็นจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือถือเงินอยู่ในมือและยังเห็นจำเลยที่ 2 และที่ 3 อยู่ด้วย จำเลยทั้งสามนี้ผู้เสียหายรู้จักมาก่อน และผู้ที่เล่นการพนันกับคนที่อยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์ต่างก็รู้จักผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายจึงใช้กล้องถ่ายรูปได้ 1 ภาพ พอจะถ่ายรูปภาพที่ 2 จำเลยที่ 1 ก็เข้าถึงตัวผู้เสียหาย และกระชากกล้องจากมือผู้เสียหายไป ทั้งต่อว่าผู้เสียหายที่เข้าไปจับบ่อนนายนัดแล้วถ่ายรูปไว้แล้วชกผู้เสียหายจนล้มลง หลังจากนั้นพวกของจำเลยที่ 1 ประมาณ 10 คน เข้าห้อมล้อมผู้เสียหายไว้ ผู้เสียหายพยายามจะหนีก็ถูกจำเลยที่ 3 กับพวกจับแขนผู้เสียหายให้จำเลยที่ 1 และคนอื่นชกต่อยผู้เสียหาย หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 และที่ 5 กับพวกได้ลากผู้เสียหายเข้าไปในห้องน้ำจับผู้เสียหายกระแทกฝาห้องน้ำจนข้างฝาแตกแล้วจับผู้เสียหายพาดเฉียงกับที่ปัสสาวะผู้ชาย แล้วช่วยกันกระทืบผู้เสียหาย และจำเลยที่ 1 ยังได้ชกต่อยผู้เสียหายกับกระชากอาวุธปืนซึ่งอยู่ใต้รักแร้ด้านซ้ายของผู้เสียหายออกมาแล้วเอาอาวุธปืนจี้ศีรษะผู้เสียหายและพูดว่ามึงตายเสียเถอะ ผู้เสียหายยกมือไหว้ขอโทษและว่าอย่าฆ่าผู้เสียหายเลย จำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนนั้นตบกกหูด้านซ้ายของผู้เสียหายและสั่งให้พวกของจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายต่อไป ในระหว่างเกิดเหตุมีคนเอาวิทยุสื่อสารที่ผู้เสียหายพกไว้ที่เอวด้านขวาไป แต่ผู้เสียหายไม่ทราบว่าผู้ใดเอาไป ต่อมาจำเลยที่ 1 สั่งให้พวกของจำเลยที่ 1 นำผู้เสียหายไปที่หน้าร้าน แล้วโยนผู้เสียหายขึ้นไปบนรถยนต์กระบะสีดำของจำเลยที่ 1 ขณะนั้นมีจำเลยที่ 4 ขึ้นไปบนรถแล้วเหยียบผู้เสียหาย จำเลยที่ 3 กับพวกขึ้นไปรุมชกต่อยผู้เสียหายอีก ผู้เสียหายร้องตะโกนให้ผู้ที่รับประทานอาหารช่วยเหลือโดยบอกว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอไทรน้อยเข้ามาจับบ่อนการพนันแล้วถูกทำร้าย ให้ช่วยเป็นพยานด้วย ไม่มีใครช่วยแต่มีคนมามุงดูในจำนวนนั้นมีคนที่ผู้เสียหายรู้จักคือนายกิ่ง นายกิ่งพูดว่านี่ตำรวจไทรน้อยอย่าทำเขา พวกของจำเลยที่ 1จึงหยุดทำร้ายผู้เสียหายแต่ยังอยู่บนรถ ขณะนั้นสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีมาถึง เหตุที่มาถึงช้าเพราะยางรถจักรยานยนต์รั่วห่างจากร้านอาหารลูกเต๋าประมาณ 10 กิโลเมตร สิบตำรวจตรีชาตรีวิทยุเรียกผู้เสียหายแต่เรียกไม่ได้ต้องเข็นรถจักรยานยนต์ไปที่สถานีบริการน้ำมันแล้วยืมรถจักรยานยนต์เพื่อนติดตามมา เมื่อสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีมาถึงก็ยังเห็นพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายที่ท้ายกระบะรถของจำเลยที่ 1 โดยพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้เบิกความยืนยันว่าเห็นจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 กับพวกร่วมกันเตะ ตบและต่อยผู้เสียหายซึ่งนอนอยู่ที่ท้ายกระบะรถยนต์ มีจำเลยที่ 1 ยืนและพูดในลักษณะสั่งการอยู่ข้างล่างท้ายกระบะรถนั้น เมื่อสิบตำรวจตรีชาตรีและสิบตำรวจตรีนทีแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยดังกล่าวจึงหยุดทำร้าย เมื่อจะเข้าจับกุมจำเลยดังกล่าวก็หลบหนีไป สิบตำรวจตรีชาตรีและสิบตำรวจตรีนทีจึงรีบช่วยเหลือผู้เสียหายซึ่งมีอาการบาดเจ็บมากไม่สามารถให้การได้ในขณะนั้น โดยนำตัวผู้เสียหายไปแจ้งความแก่ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรอำเภอไทรน้อย แล้วนำส่งโรงพยาบาล ภายหลังผู้เสียหายฟื้นขึ้นมาจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้สิบตำรวจตรีชาตรีและสิบตำรวจตรีนทีฟังว่าถูกจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันทำร้ายขณะที่ผู้เสียหายถ่ายรูปวงการพนันที่มีจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือและถูกจำเลยที่ 1 แย่งกล้องถ่ายรูปและเอาอาวุธปืนประจำตัวผู้เสียหายไป ทั้งยังใช้อาวุธปืนตบที่หูผู้เสียหายและใช้อาวุธปืนขู่จะฆ่าผู้เสียหายด้วยดังนี้ เห็นว่าเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานในท้องที่เกิดเหตุได้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามปกติทั้งต่างก็รู้จักจำเลยที่ 1 กับจำเลยอื่น ๆ อีกหลายคนเป็นอย่างดีเนื่องจากจำเลยที่ 1 เปิดกิจการร้านอาหารและมีโต๊ะสนุกเกอร์ด้วยจึงเป็นสถานที่ซึ่งอาจมีการก่อเหตุทะเลาะวิวาทของผู้ที่ไปเล่นสนุกเกอร์ หรือรับประทานอาหารในร้านของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจในท้องที่จะต้องไปสอดส่องดูแลอยู่เสมอเพื่อมิให้มีการก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้น คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าเป็นความจริงเช่นนั้นและยิ่งกว่านั้นโจทก์ยังมีร้อยตำรวจโทสะอาด ตุ๊สังข์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอไทรน้อย เบิกความยืนยันว่าเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2537 เวลาประมาณ 0.30 นาฬิกาผู้เสียหายกับพวกมาแจ้งความว่า ผู้เสียหายถูกทำร้ายที่ร้านอาหารลูกเต๋า ซึ่งเป็นร้านของจำเลยที่ 1 ขณะนั้นผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่บริเวณใบหน้าและที่หู จึงให้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลอำเภอไทรน้อย โดยยังไม่มีการสอบปากคำผู้เสียหายไว้ ต่อมาวันที่ 23เดือนเดียวกันจึงตามไปสอบปากคำผู้เสียหายที่โรงพยาบาลรัตนาธิเบศร์ เนื่องจากผู้เสียหายย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าวและตามคำเบิกความของพยานปากนี้ ก็ได้ความเช่นเดียวกันกับที่ผู้เสียหายเบิกความ พยานบุคคลทั้งสี่ปากดังกล่าว จึงสอดคล้องเชื่อมโยงเป็นลำดับมา นับแต่ผู้เสียหายกับสิบตำรวจตรีชาตรีและสิบตำรวจตรีนทีวางแผนการจับกุมผู้เล่นการพนันที่ร้านอาหารลูกเต๋าจนกระทั่งผู้เสียหายถ่ายรูปขณะที่จำเลยที่ 1 กับพวกเล่นการพนัน แต่จำเลยที่ 1 แย่งกล้องถ่ายรูปและอาวุธปืนประจำตัวผู้เสียหาย แล้วร่วมทำร้ายผู้เสียหาย ลากผู้เสียหายไปไว้ที่กระบะท้ายรถของจำเลยที่ 1 ในที่สุดสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีมาพบเข้าและพาผู้เสียหายไปแจ้งความแก่ร้อยตำรวจโทสะอาดตุ๊สังข์ ซึ่งสมเหตุสมผล ไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 กับพวก ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าผู้เสียหายเมาสุราจนไม่ได้สตินั้น ก็ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของพยานโจทก์ว่าได้กลิ่นสุราจากผู้เสียหายแต่อย่างใด หรือมีการตรวจเกี่ยวกับสารแอลกอฮอล์หรือไม่และตามใบรับรองแพทย์ซึ่งมีการตรวจร่างกายผู้เสียหายโดยนายแพทย์มาโนชญ์ สุวรรณศรี โรงพยาบาลรัตนาธิเบศร์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2537 ตามเอกสารท้ายฟ้องก็ระบุเฉพาะแต่ลักษณะของบาดแผลที่ถูกทำร้ายเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงว่าผู้เสียหายมีอาการมึนเมาหรือมีลักษณะของคนดื่มสุราในขณะที่ถูกทำร้าย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 จึงฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานโจทก์ดังที่วินิจฉัยมาจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ และฐานวิ่งราวทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นประทวนเพียงคนเดียวจะเข้าไปจับคนร้ายเล่นการพนัน และใช้กล้องถ่ายรูปวงไพ่ด้วยซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยนั้น เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามปากคือผู้เสียหายสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีได้วางแผนการจับกุมไว้ก่อนแล้ว จึงเดินทางร่วมกันไปที่ร้านอาหารลูกเต๋าโดยผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์นำหน้าไป แต่เผอิญในระหว่างทางรถจักรยานยนต์คันที่สิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีขับตามไปนั้นยางรั่วต้องกลับไปเปลี่ยนรถจักรยานยนต์คันอื่นและไม่สามารถติดต่อกับผู้เสียหายได้ ส่วนผู้เสียหายก็เข้าใจว่าสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีติดตามมาเนื่องจากเห็นแสงไฟรถตามมา เมื่อไปถึงร้านอาหารลูกเต๋าจึงเดินเข้าด้านหลังโดยไม่ได้รอเพราะเข้าใจว่าสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีติดตามมา จึงรีบเข้าไปเพื่อถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ทั้งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 23 นาฬิกาแล้ว เมื่อผู้เสียหายเชื่อว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริงจึงชอบที่จะดำเนินการโดยรวดเร็ว เพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดรู้ตัวและปกปิดการกระทำความผิดนั้นและประกอบกับผู้เสียหายเชื่อว่ามีเจ้าพนักงานตำรวจอีกสองคนช่วยเหลือเป็นกำลังสนับสนุนการจับกุมอยู่แล้ว จึงดำเนินการดังกล่าวทันทีหาใช่เป็นการผิดปกติวิสัยแต่อย่างใด และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์มีผู้เสียหายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เบิกความว่าเห็นจำเลยที่ 1 เล่นการพนันไพ่แปดเก้า ส่วนหญิงที่ผู้เสียหายอ้างว่าเป็นผู้บอกว่าที่ร้านอาหารลูกเต๋ามีการเล่นการพนันก็ไม่ได้ตัวมาสอบปากคำ ทั้งตามคำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามปากคือผู้เสียหาย สิบตำรวจตรีชาตรี และสิบตำรวจตรีนทีที่ว่า มีผู้เล่นการพนันที่ร้านอาหารลูกเต๋าถึง 20 คน จึงวางแผนไปจับกุมก็ผิดวิสัยของเจ้าพนักงานตำรวจ เพราะถ้ามีคนเล่นการพนันมากขนาดนั้นซึ่งถือว่าเป็นบ่อนใหญ่ตามระเบียบต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยด่วน และใช้กำลังมากกว่าที่เป็นอยู่ เห็นว่า เมื่อผู้เสียหายทราบจากหญิงคนหนึ่งที่แจ้งว่ามีการเล่นการพนันที่ร้านอาหารลูกเต๋า ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 22 นาฬิกาแล้ว ก็ได้วิทยุขอกำลังมาสมทบแต่ได้รับแจ้งว่าไม่มีกำลังจึงต้องไปตามสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีแล้ววางแผนการจับกุมและเดินทางไปที่เกิดเหตุทันที ประกอบกับการที่เจ้าพนักงานตำรวจพยานโจทก์ทั้งสามปากนี้รู้จักจำเลยที่ 1 และสถานที่ดีอยู่แล้ว จึงต้องดำเนินการโดยรวดเร็วและรู้ว่ามีกำลังคนเพียง 3 คน เท่านั้น จึงได้เตรียมกล้องถ่ายรูปไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือที่ดีอันจะช่วยเป็นพยานหลักฐานว่ามีการเล่นการพนันการที่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามดำเนินการเช่นนี้ ถือได้ว่ามีความรอบคอบในการปฏิบัติหน้าที่ หาใช่เรื่องผิดปกติไม่ เพราะการแจ้งข่าวการจับกุมให้ทราบกันแพร่หลายความลับในการจับกุมอาจรั่วไหลได้ ดังที่ปรากฏในการจับกุมบ่อนการพนันต่าง ๆ อยู่เสมอเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสามปากนี้มีความรอบคอบรวมทั้งรู้จักสถานที่ดีอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นกรณีฉุกเฉินจึงต้องรีบเข้าจับกุม ทั้งผู้เสียหายก็มีประสบการณ์ในการจับกุมผู้เล่นการพนันมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าจะใช้วิธีการจับกุมอย่างไร มีหลักฐานอย่างไรที่แสดงว่ามีการเล่นการพนัน และใครเล่นการพนันบ้าง ซึ่งผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าขณะเดินไปที่ประตูทางเข้าห้องพักซึ่งเปิดอยู่เห็นกลุ่มชายหญิงประมาณ 20 คน กำลังเล่นการพนันไพ่แปดเก้ากันอยู่ โดยจำเลยที่ 1เป็นเจ้ามือและถือเงินอยู่ในมือ ผู้เสียหายได้อธิบายถึงวิธีการเล่นไพ่แปดเก้าด้วย แม้ว่ามีเพียงผู้เสียหายปากเดียวยืนยันว่าจำเลยเป็นเจ้ามือเล่นการพนันไพ่แปดเก้า ก็รับฟังได้ดังที่วินิจฉัยมาแล้วส่วนการที่พันตำรวจตรีโกศล ธงชัย พยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายความจำเลยที่ 1 ว่า ไม่ทราบว่ามีการวางแผนการจับกุมที่ร้านอาหารลูกเต๋าหรือไม่ก็มิใช่เป็นการยืนยันว่าจะไม่มีการวางแผนการจับกุมผู้เล่นการพนันที่ร้านอาหารลูกเต๋าในคืนเกิดเหตุ เนื่องจากผู้เสียหายเองก็เพิ่งได้รับแจ้งว่ามีการเล่นการพนันที่ร้านอาหารลูกเต๋าเมื่อเวลา 22 นาฬิกาแล้วจึงย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ที่ไม่ได้รับแจ้งหรือเกี่ยวข้องจะทราบเรื่องการวางแผนการจับกุมผู้เล่นการพนันที่ร้านอาหารลูกเต๋า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานหรือพยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่นั้น เห็นว่า ผู้เสียหายให้การยืนยันตลอดมาตั้งแต่ชั้นสอบสวนว่า ถูกจำเลยที่ 1 แย่งเอากล้องถ่ายรูปและอาวุธปืนประจำตัวผู้เสียหายไปขณะที่ผู้เสียหายถ่ายรูปจำเลยที่ 1กับพวกกำลังเล่นการพนันไพ่แปดเก้า โดยให้การต่อร้อยตำรวจตรีสะอาดพนักงานสอบสวนคนแรกหลังจากเกิดเหตุเพียง 2 วันเท่านั้น ซึ่งร้อยตำรวจตรีสะอาดก็เบิกความสนับสนุนว่า ผู้เสียหายให้การว่าเมื่อผู้เสียหายถ่ายรูปขณะที่จำเลยที่ 1 กับพวกเล่นการพนันไพ่แปดเก้าอยู่ก็ถูกจำเลยที่ 1 กับพวกแย่งเอากล้องถ่ายรูป อาวุธปืนประจำตัวผู้เสียหาย และร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายด้วย และนอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอกจักรพงษ์ ดวงกุดั่น พนักงานสอบสวนซึ่งรับโอนสำนวนมาจากร้อยตำรวจตรีสะอาดและได้สอบผู้เสียหายเพิ่มเติมเบิกความว่า ผู้เสียหายยังให้การยืนยันเช่นเดิม และจากการสืบสวนทราบว่าประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มีนายกิ่ง ทองพยงค์ และนายโกวิทย์หรือฮัง แต่ไม่ยอมมาเป็นพยานเนื่องจากเกรงกลัวอิทธิพลของจำเลยที่ 1 ดังนั้น ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์และมาเบิกความเป็นพยานโจทก์จึงมีเพียงผู้เสียหายเท่านั้นซึ่งก็มีน้ำหนักให้รับฟังดังคำวินิจฉัยข้างต้น ส่วนคนอื่นที่เห็นเหตุการณ์ไม่กล้ามาเป็นพยานเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของจำเลยที่ 1 สำหรับพยานโจทก์อีกปากหนึ่งคือนายไตรวุฒิ พรมเอี่ยม ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่านายไตรวุฒิเบิกความว่า เมื่อมีผู้พยุงผู้เสียหายออกมาที่หน้าร้าน ได้ยินจำเลยที่ 1 พูดว่าให้ส่งไปโรงพยาบาล และมีเสียงหลายเสียงบอกว่าให้ไปส่งโรงพยาบาล ขณะนั้นมีเจ้าพนักงานตำรวจมาก็ไม่มีผู้ใดวิ่งหนี เห็นว่านายไตรวุฒิเข้าไปนั่งรับประทานอาหารตั้งแต่เวลาประมาณ 20 นาฬิกา จนถึงเวลาประมาณ 23 นาฬิกา จึงเห็นมีผู้ประคองผู้เสียหายออกมาจากหลังร้าน โดยตอนที่ผู้เสียหายเข้าไปในร้านนั้นนายไตรวุฒิไม่เห็นดังนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้เสียหายได้เข้าไปทางหลังร้านเพื่อมิให้พวกที่เล่นการพนันรู้ตัว ส่วนที่นายไตรวุฒิเบิกความว่าได้ยินจำเลยที่ 1 พูดว่าให้ไปส่งโรงพยาบาลและเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงนั้นไม่มีผู้ใดวิ่งหนีนั้น จำเลยที่ 1 อาจพูดกลบเกลื่อนเหตุการณ์ก็ได้เพราะขณะนั้นยังมีลูกค้าอยู่ในร้านของจำเลยที่ 1 ดังที่นายไตรวุฒิเบิกความ เมื่อเวลาประมาณ 23 นาฬิกามีลูกค้ามารับประทานอาหารมากขึ้น และหลังจากนั้นก็มีเหตุเกิดขึ้น และที่ยังไม่มีผู้ใดหนี เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงนั้น ตามคำเบิกความของสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีก็ได้ความว่า ในขณะเดินทางไปร้านอาหารลูกเต๋าไม่ได้แต่งเครื่องแบบ ดังนั้นเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 กับพวกจึงไม่ได้หลบหนีไป เพราะคงไม่ทราบว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ทำให้สิบตำรวจตรีชาตรีและสิบตำรวจตรีนทีได้เห็นเหตุการณ์ที่จำเลยที่ 1 กับพวกทำร้ายผู้เสียหายที่ถูกนำไปไว้ที่ท้ายกระบะรถของจำเลยที่ 1 ต่อมาภายหลังเมื่อทราบว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจึงพากันหลบหนีไป คำเบิกความของนายไตรวุฒิกับสิบตำรวจตรีชาตรีและสิบตำรวจตรีนทีหาขัดกันแต่อย่างใดไม่หาแต่กลับทำให้มีน้ำหนักรับฟังยิ่งขึ้นเพราะตามบันทึกคำให้การนายไตรวุฒิก็ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ทราบว่าผู้เสียหายเข้าไปจับกุมพวกที่เล่นการพนันในร้านอาหารลูกเต๋าแล้วจึงถูกพวกของจำเลยที่ 1 ทำร้าย พยานคิดอยู่หลายวันไม่อยากเกี่ยวข้องด้วยแต่พิจารณาแล้วเห็นว่าเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติหน้าที่ถูกรุมทำร้ายอย่างไม่เป็นธรรมจึงมาให้การตามความเป็นจริงที่รู้เห็น คำให้การของนายไตรวุฒิเมื่อฟังประกอบกับพยานโจทก์ปากอื่นแล้วมีเหตุอันสมควรรับฟังได้ว่าคำให้การชั้นสอบสวนนั้นนายไตรวุฒิได้ให้การตามที่ได้รู้เห็นจริงว่าผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 กับพวกทำร้าย และตามคำเบิกความของนายไตรวุฒิก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีอาการมึนเมาสุรา นายไตรวุฒิเป็นคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดคำให้การในชั้นสอบสวนของนายไตรวุฒิแสดงให้เห็นถึงความสำนึกและรู้รับผิดชอบชั่วดียึดถือความถูกต้องเป็นธรรมเป็นสำคัญจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แม้ว่าในชั้นพิจารณาของศาลจะเบิกความแตกต่างไปบ้างก็เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นมาร่วม 3 ปีแล้วก่อนเบิกความที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ตามคำเบิกความของดาบตำรวจเรืองศักดิ์ ภู่ชัย กับนายไตรวุฒิ พยานโจทก์แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1กับพวกได้ให้การช่วยเหลือผู้เสียหายออกจากร้านอาหารของจำเลยที่ 1และจะนำส่งโรงพยาบาลนั้น เห็นว่า ตามคำเบิกความของดาบตำรวจเรืองศักดิ์ได้ความเพียงว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2537 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา ขณะที่ทำหน้าที่สิบเวรอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอไทรน้อย มีจำเลยที่ 1 นำอาวุธปืนของทางราชการที่ผู้เสียหายเบิกไปใช้ ไปมอบให้ดาบตำรวจเรืองศักดิ์โดยบอกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาผู้เสียหายไปเมาสุราที่ร้านอาหารของจำเลยที่ 1 และทำอาวุธปืนตกหล่นไว้ ทั้งยังมีเรื่องกับพวกที่ถูกจับกุมที่ร้านของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บอาวุธปืนของกลางได้จึงนำมามอบให้ และหลังจากเกิดเหตุ 5 วัน จึงทราบว่าสิบตำรวจตรีชาตรีกับสิบตำรวจตรีนทีเป็นผู้เข้าร่วมจับกุมผู้กระทำความผิดที่ร้านอาหารลูกเต๋าในคืนเกิดเหตุส่วนเรื่องผู้เสียหายถูกใครทำร้ายอย่างไรในคืนเกิดเหตุและจำเลยที่ 1 กับพวกจะช่วยนำผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลหรือไม่ ไม่ปรากฏว่านายดาบตำรวจเรืองศักดิ์กล่าวถึงแต่อย่างใดและตามคำเบิกความของนายไตรวุฒิ ก็ไม่ได้ความชัดเจนดังที่จำเลยที่ 1 อ้างตามที่วินิจฉัยมาแล้ว ตามพฤติการณ์แห่งคดี เห็นว่า หากจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาที่จะช่วยผู้เสียหายจริง เมื่อพวกของจำเลยที่ 1 นำผู้เสียหายไปไว้ที่กระบะท้ายรถของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ก็สามารถนำผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลได้ทันทีด้วยรถของจำเลยที่ 1 แต่หาได้กระทำไม่ แม้ต่อมาเมื่อมีเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงจำเลยที่ 1 กับพวกก็ชอบที่จะให้ความร่วมมือ โดยช่วยนำผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลเพราะผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บและมีอาการหนักมากทั้งเหตุก็เกิดในร้านอาหารของจำเลยที่ 1 ด้วยอันเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบหรือมีน้ำใจต่อผู้เสียหาย การที่จำเลยที่ 1 ไม่กระทำเช่นนั้นยิ่งสนับสนุนให้เห็นว่าภายหลังจากเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงและจำเลยที่ 1 กับพวกรู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ก็เกรงกลัวจะถูกจับเนื่องจากการที่กระทำความผิดต่อผู้เสียหายจึงรีบพากันหลบหนีไป และแม้แต่อาวุธปืนของกลางก็เช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 ก็ควรจะรีบคืนให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจเสียในคืนเกิดเหตุ แต่กลับนำไปเก็บไว้แล้วนำมาคืนในภายหลังจึงส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ปกปิดการกระทำความผิดของตน ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาต่อไปว่าจำเลยที่ 1 มิได้กระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์คือกล้องถ่ายรูปของผู้เสียหายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 เข้าไปกระชากเอากล้องถ่ายรูปจากผู้เสียหายไปขณะที่ผู้เสียหายจะถ่ายรูปเพื่อเป็นหลักฐานการเล่นการพนันไพ่แปดเก้าของจำเลยที่ 1 กับพวกซึ่งได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมาแล้วว่าเหตุดังกล่าวนั้น รับฟังได้ว่าเป็นความจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา และกล้องถ่ายรูปนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับคืนมาเลยย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองอยู่แล้วลักษณะการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการฉกฉวยเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปซึ่งหน้าโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงรายละเอียดไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดจึงไม่จำต้องวินิจฉัย สรุปแล้วพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษา พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ที่นำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงการณ์เพื่อสนับสนุนฎีกาของจำเลยที่ 1 นั้น มีสาระสำคัญเช่นเดียวกับฎีกาของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลฎีกามีคำวินิจฉัยไว้แล้ว นอกจากนี้ที่จำเลยที่ 1 ขอให้คำแถลงการณ์ว่าให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1นั้น เห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีตามที่โจทก์นำสืบมานั้น จำเลยที่ 1ร่วมกับพวกได้กระทำต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่จำเลยที่ 1 กับพวกแทนที่จะสำนึกและเคารพต่อกฎหมายของบ้านเมืองเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะถูกจับในข้อหาร่วมกันเล่นการพนัน แต่จำเลยที่ 1 กับพวกกลับใช้วิธีการรุนแรงร่วมกันต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุแต่ผู้เดียว ทั้งขู่จะฆ่าเจ้าพนักงานตำรวจแม้ว่าจะไม่มีเจตนาเช่นนั้นก็ตาม แต่ก็มีลักษณะบังอาจและท้าทายอำนาจของรัฐ ทั้งที่ความจริงแล้วความผิดฐานเล่นการพนันไพ่แปดเก้านั้นมีระวางโทษเบา แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกที่สืบเนื่องต่อมานั้นนับว่ามีความรุนแรงไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง การที่ศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดโทษสำหรับจำเลยที่ 1 มานั้น นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคหนึ่ง นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ถูกต้องเพราะโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กับพวกปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยไม่บรรยายว่า จำเลยที่ 1 กับพวกฉกฉวยพาทรัพย์หนีไปต่อหน้า อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ และคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษ จำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วยจะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคแรก เท่านั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2