คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เกี่ยวข้องรับผิดชอบกับการเบิกจ่ายพัสดุโดยตรงเป็นผู้จ่ายตรวจ นับ คุมสินค้าอยู่ทุกวัน จำเลยผู้เป็น นายจ้างพิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เอาสินค้าไป และ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำการใดในหน้าที่การงานโดยปราศจากความระมัดระวัง หรือละเลยการอันจักต้องกระทำ ตามหน้าที่ หรืองดเว้นการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง แม้โจทก์จะมี หน้าที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบกับการเบิกจ่ายพัสดุโดยตรงและ สินค้าได้หายไป ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย จำเลยก็ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ เมื่อไม่ปรากฏว่า โจทก์กระทำการใดอันถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เพียงปรากฏข้อเท็จจริงว่าสินค้าที่อยู่ในสถานที่ที่โจทก์ทำงานอยู่หายไป ยังไม่พอให้ถือได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อ

ย่อยาว

คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1ถึงโจทก์ที่ 5
โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2536 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าอ้างว่าสินค้าในคลังพัสดุสูญหาย ให้โจทก์ทั้งห้ารับผิดชอบความจริงสินค้าดังกล่าวถูกโจรกรรม โจทก์ทั้งห้ามิได้รู้เห็นด้วยจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่มีความผิดจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามกฎหมายให้แก่โจทก์ทั้งห้า นอกจากนี้จำเลยยังได้หักเงินเดือนของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ไว้เป็นเงินสะสม ซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายคืนให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 และโจทก์ที่ 1และที่ 5 ยังมีสิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์อันเกิดจากเงินสมทบตามระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยหมวดว่าด้วยค่าตอบแทนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากจำเลยด้วย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 9,100 บาท ค่าชดเชย54,600 บาท เงินสะสม 132,000 บาท เงินสมทบ 198,000 บาทแก่โจทก์ที่ 1 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 4,296 บาทค่าชดเชย 12,888 บาท เงินสะสม 1,100 บาท แก่โจทก์ที่ 2จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 3,020 บาท ค่าชดเชย 13,590บาท แก่โจทก์ที่ 3 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 2,820 บาทค่าชดเชย 12,690 บาท แก่โจทก์ที่ 4 และจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 5,123 บาท ค่าชดเชย 30,738 บาท เงินสะสม11,000 บาท เงินสมทบ 11,000 บาท แก่โจทก์ที่ 5 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต่าง ๆ ดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าสำนวนให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าเนื่องจากประมาณปลายปี 2535 สินค้าในคลังพัสดุ เลขที่ 24หมู่ที่ 13 ซอยสุขาภิบาล 16 ถนนปู่เจ้าสมิงพราย ตำบลหญ้าแพรกอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งโจทก์ทั้งห้ามีหน้าที่ดูแลได้สูญหายไปเป็นจำนวนเงิน 5,621,315.14 บาทขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดของพนักงานสอบสวน จำเลยเห็นว่าโจทก์ทั้งห้าปฏิบัติงานเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างมาก เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเพราะคลังพัสดุของจำเลยได้แยกออกเป็นเอกเทศมีกุญแจล็อกอย่างแน่นหนาพนักงานอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ระบบการรับและการเบิกจ่ายสินค้าออกจากคลังก็เป็นไปอย่างรัดกุม มีเอกสารควบคุมสามารถตรวจสอบได้ ประกอบกับคลังพัสดุก็ไม่ได้ชำรุดหรือมีร่องรอยการงัดแงะแต่อย่างใด จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าจึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 มีเงินสะสมอยู่ที่จำเลยเพียงจำนวน 69,561.98 บาท 2,112.12 บาท และ 8,460.10 บาท ตามลำดับ เงินของโจทก์ดังกล่าวนั้นทางจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คไว้ให้แล้วแต่โจทก์ไม่มารับส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์อันเกิดจากเงินสมทบนั้น จำเลยจะจ่ายให้ก็ต่อเมื่อพนักงานไม่ได้กระทำความผิด เมื่อโจทก์ที่ 1 และที่ 5 กระทำความผิดจำเลยจึงไม่ต้องจ่าย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งห้า
ในระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลาง โจทก์ที่ 1 ที่ 2และที่ 5 แถลงว่าได้ไปรับเงินสะสมจากจำเลยเรียบร้อยแล้ว
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5เกี่ยวข้องรับผิดชอบกับการเบิกจ่ายพัสดุโดยตรง แม้จำเลยจะพิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นผู้เอาสินค้าไป แต่การกระทำของโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ส่อไปในทางประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้สินค้าหายไปเป็นจำนวนถึง 5,621,315.14 บาท เมื่อโจทก์ที่ 1ที่ 4 และที่ 5 ประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรงจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 และไม่ต้องจ่ายเงินสมทบแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 5 ด้วย โจทก์ที่ 2 มีตำแหน่งเป็นเสมียนรับเอกสารเข้าและพิมพ์งานออกโดยส่งไปตามแผนกต่าง ๆไม่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายพัสดุโดยตรง จะให้รับผิดชอบในเรื่องสูญหายมิได้ โจทก์ที่ 3 มีหน้าที่ตรวจสอบตัดยอดพัสดุที่มีผู้มาขอเบิกในแต่ละวัน โดยตรวจดูตามรายการที่โจทก์ที่ 1 ที่ 4และที่ 5 เสนอมา ทั้งเอกสารที่หัวหน้างานตรวจสอบจนส่งไปให้จำเลยรับทราบในแต่ละเดือนก็ตรงกับฝ่ายบัญชี ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ที่ 3 จะประมาทเลินเล่อเพราะมีความรับผิดชอบทางด้านเอกสารเท่านั้น โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ไม่มีความผิด จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามกฎหมายพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 4,296 บาทค่าชดเชย 12,888 บาท แก่โจทก์ที่ 2 และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 3,020 บาท ค่าชดเชย 13,590 บาท แก่โจทก์ที่ 3ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5
โจทก์ที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ที่ 1 ที่ 4และที่ 5 อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1ที่ 4 และที่ 5 ประมาทเลินเล่อโดยอาศัยพฤติการณ์ที่โจทก์ที่ 1ที่ 4 และที่ 5 มีหน้าที่จ่ายพัสดุในคลังพัสดุแล้วปรากฏว่า สินค้าในคลังพัสดุสูญหายหลายรายการคิดเป็นเงิน 5,621,315.14 บาทโดยไม่ปรากฏร่องรอยการงัดแงะใด ๆ ที่ประตูคลังพัสดุมาสรุปโดยที่จำเลยไม่สามารถนำสืบได้ว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับเรื่องสินค้าสูญหายหรือบกพร่องประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อย่างไร จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ไว้เพียงว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 เกี่ยวข้องรับผิดชอบกับการเบิกจ่ายพัสดุโดยตรงเป็นผู้จ่ายตรวจ นับ คุมสินค้าอยู่ทุกวัน จำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นผู้เอาสินค้าไป แล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ส่อไปในทางประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้สินค้าสูญหายไปเป็นจำนวนเงินถึง 5,621,315.14 บาท ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ได้กระทำการในหน้าที่การงานโดยปราศจากความระมัดระวัง หรือละเลยการอันจักต้องกระทำตามหน้าที่ หรืองดเว้นการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างแม้โจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 จะมีหน้าที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบการเบิกจ่ายพัสดุโดยตรงและสินค้าได้หายไป ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยที่ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงดังที่จำเลยให้การต่อสู้เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 โดยไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายจำเลยก็ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1ที่ 4 และที่ 5 ในจำนวนตามฟ้อง และเมื่อโจทก์ที่ 1 และที่ 5มิได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงดังที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับการทำงานจำเลยก็ต้องจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์อันเกิดจากเงินสมทบในจำนวนตามฟ้องให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 5 ด้วย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า แม้โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3จะไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายพัสดุโดยตรงก็ตามก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันกับโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 เพราะครอบครองและรับผิดชอบสินค้าในคลังพัสดุด้วยกัน จึงต้องถือว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ประมาทเลินเล่อด้วย นั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 มิได้ประมาทเลินเล่อดังที่จำเลยให้การต่อสู้ แม้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 จะทำงานร่วมกันกับโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาไม่ปรากฏว่า โจทก์ที่ 2 และที่ 3กระทำการใดอันถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเพียงปรากฏข้อเท็จจริงว่าสินค้าที่อยู่ในสถานที่ที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ทำงานอยู่หายไป ยังไม่พอให้ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ประมาทเลินเล่อ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 9,100 บาท ค่าชดเชย 54,600 บาท เงินสมทบและผลประโยชน์อันเกิดจากเงินสมทบ 198,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 2,820 บาท ค่าชดเชย 12,690 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 4 และจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 5,123 บาทค่าชดเชย 30,738 บาท เงินสมทบและผลประโยชน์อันเกิดจากเงินสมทบ 11,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 5 พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 เสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share