คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรื่องละเมิด ขับไล่ ขอให้จำเลยออกจากห้องพิพาท และส่งมอบห้องพิพาทให้โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่ขาดประโยชน์ตั้งแต่วันละเมิดถึงวันฟ้อง กับค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบห้องพิพาท ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องและนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบห้องพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนี้ แม้คำพิพากษาจะไม่ได้กล่าวโดยชัดแจ้งให้ขับไล่จำเลย หรือให้จำเลยส่งมอบห้องพิพาทให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่การแปลคำพิพากษาต้องพิเคราะห์เกี่ยวกับข้อวินิจฉัยในคำพิพากษา เมื่อคำพิพากษาได้วินิจฉัยว่าจำเลยอยู่ในห้องพิพาทโดยไม่มีสิทธิ์จะอ้างได้ และพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนกว่าจำเลยจะส่งมอบห้องพิพาท จึงมีความหมายอยู่ในตัวว่า คำพิพากษามุ่งประสงค์ให้จำเลยออกจากห้องพิพาทและส่งมอบห้องพิพากษาตามฟ้อง

ย่อยาว

เดิมนายสามารถโจทก์ที่ ๑ นายสุลัยโจทก์ที่ ๒ ฟ้องนางจันทนาจำเลยที่ ๑ นายบุ้นจำเลยที่ ๒ ห้างหุ้นส่วนจำกัดจึงบุ้นเซ้งจำเลยที่ ๓ เรื่องเช่าทรัพย์ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้องถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท กับให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะได้ทำสัญญาเช่าให้โจทก์เป็นผู้เช่า ถ้าไม่จัดการหรือจัดการดังกล่าวไม่ได้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินกินเปล่าให้โจทก์เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๐๓ จนกว่าจะชำระให้เสร็จ
นางจันทนาจำเลยที่ ๑ ได้ฟ้องนายบุ้นจำเลยที่ ๒ ห้างหุ้นส่วนจึงบุ้นเซ้งจำเลยที่ ๓ นายสุลัยโจทก์ที่ ๒ เป็นจำเลยที่ ๑, ๒ และ ๓ ตามลำดับ นายสามารถโจทก์ที่ ๑ ได้เข้าเป็นจำเลยร่วม เรื่องละเมิดขับไล่ ขอให้จำเลยออกจากห้องพิพาทและส่งมอบห้องพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยเสียค่าเสียหายเป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายเป็นรายเดือนเดือนละ ๑๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบห้องพิพาท
คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายสามารถโจทก์ที่ ๑ นายสุลัยโจทก์ที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายให้นางจันทนาจำเลยคิดเป็นรายเดือน ๆ ละ ๘๐ บาทนับแต่เดือนเมษายน ๒๕๐๓ จนถึงวันฟ้องและนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบห้องพิพาทให้แก่นางจันทนาจำเลยที่ ๑ ได้ยกฟ้องของนางจันทนาจำเลยที่ ๑ เฉพาะที่เกี่ยวกับนายบุ้นและห้างหุ้นส่วนจำกัดจึงบุ้นเซ้ง โดยให้บังคับคดีภายใน ๓๐ วัน
นายสามารถโจทก์ที่ ๑ นายสุลัยโจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์
ระหว่างอุทธรณ์ นางจันทนาจำเลยที่ ๑ ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและหมายจับนายสามารถโจทก์ที่ ๑ นายสุลัยโจทก์ที่ ๒ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ในวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความเรื่องนางจันทนาจำเลยที่ ๑ ยื่นคำขอดังกล่าว โจทก์แถลงว่าโจทก์ทั้งสองยังอยู่ในห้องพิพาทเพราะคำบังคับไม่ได้ออกให้ส่งมอบห้องพิพาท ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำพิพากษาและคำบังคับชัดเจนอยู่แล้วว่า โจทก์ไม่มีอำนาจอยู่และจะต้องออกไปตามคำบังคับ จึงให้โจทก์ทั้งสองออกจากห้องพิพาทและส่งมอบห้องให้จำเลยภายใน ๗ วัน ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะถูกจับขังฐานขัดคำสั่ง
นายสามารถโจทก์ที่ ๑ นายสุลัยโจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การแปลคำพิพากษาต้องพิเคราะห์เกี่ยวกับข้อวินิจฉัยในคำพิพากษาทั้งหมด คำพิพากษาคดีนี้วินิจฉัยว่า โจทก์อยู่ในห้องพิพาทโดยไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างได้ อันเป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ แสดงว่าโจทก์อยู่โดยผิดกฎหมาย ทำให้เสียหายแก่จำเลยที่ ๑ แต่จะบังคับตามวิธีการในชั้นบังคับคดีในทันทีไม่ได้ จึงกำหนดค่าเสียหายเป็นรายเดือน จนกว่าโจทก์จะส่งมอบห้องพิพาทคืน คำว่า “จนกว่าโจทก์จะส่งมอบห้องพิพาทคืน” แสดงว่าเป็นส่วนประกอบหรือชี้ว่าจะต้องส่งมอบห้องพิพาทคืนแก่เจ้าของ จึงมีความหมายอยู่ในตัวว่าคำพิพากษามุ่งประสงค์ให้ออกจากห้องพิพาทและส่งมอบห้องพิพาทดังฟ้อง พิพากษายืน
แต่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่า คำว่า “จนกว่าโจทก์ทั้งสองจะส่งมอบห้องพิพาทคืน” ควรแปลว่าเป็นเรื่องกำหนดเวลาสิ้นสุดการใช้ค่าเสียหายมากกว่า มิฉะนั้นจะเป็นการแปลคำพิพากษาให้ฝ่ายแพ้คดีเสียหาย เพราะโจทก์ผู้แพ้อาจไม่นึกถึงว่าจะถูกขับไล่ออกจากห้องพิพาท จึงไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ได้ ควรพิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นไม่บังคับให้โจทก์ออกจากห้องพิพาท
นายสามารถโจทก์ที่ ๑ นายสุลัยโจทก์ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยตามสัญญารับเหมาก่อสร้างอาคารที่พิพาท จำเลยที่ ๒, ๓ และโจทก์ที่ ๒ ไม่มีหน้าที่ต้องส่งมอบห้องพิพาทให้จำเลยที่ ๑ นั้น น่าจะหมายความว่า จำเลยที่ ๒, ๓ และโจทก์ที่ ๒ ไม่มีหน้าที่ต้องส่งมอบห้องพิพาทตามข้อความแห่งสัญญาเท่านั้น แต่ได้วินิจฉัยต่อมาว่าโจทก์ทั้งสองอยู่ในห้องพิพาทโดยไม่มีสิทธิ์ จึงพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายคิดเป็นรายเดือนจนกว่าจะส่งมอบคืนห้องพิพาทให้จำเลยที่ ๑ ดังนี้ เมื่อโจทก์อยู่ในห้องพิพาทโดยไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างได้ ก็ย่อมมีหน้าที่ส่งมอบคืนห้องพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ อยู่ในตัว ถ้าไม่มีหน้าที่ส่งมอบจะพิพากษาว่าจนกว่าจะส่งมอบได้อย่างไร หากจะแปลว่า จนกว่าจะส่งมอบคืนห้องพิพาท เป็นเรื่องกำหนดเวลาสิ้นสุดแห่งการใช้ค่าเสียหาย ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้โจทก์อยู่ในห้องพิพาทจนกว่าสิ้นอยากที่จะอยู่ ซึ่งขัดกับคำวินิจฉัยว่า โจทก์อยู่ในห้องพิพาทโดยไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างได้
พิพากษายืน.

Share