แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เช่าที่ดินของโจทก์ซึ่งมีเรือนปลูกอยู่ แต่ปรากฏว่าเรือนที่ปลูกไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 เป็นของผู้มีชื่อ และจำเลยที่ 2-3 เป็นผู้เช่าเรือนพิพาทอยู่จากเจ้าของเรือน ครั้นหมดสัญญาเช่าที่ดินแล้ว โจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2-3 ออกจากที่ และรื้อเรือนพิพาทไป ดังนี้ศาลย่อมพิพากษาขับไล่ตัวจำเลยที่ 1 ออกจากที่พิพาทไปได้แต่จะให้รื้อเรือนพิพาทออกไปด้วยย่อมไม่ได้เพราะเป็นเรือนของผู้อื่นซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องผู้นั้นด้วย จึงยังไม่มีใครชี้ว่าเจ้าของเรือนพิพาทมีอำนาจที่จะคงปลูกเรือนพิพาทอยู่ในที่ของโจทก์หรือไม่ และจะบังคับให้จำเลยที่ 2-3 ซึ่งเป็นผู้เช่าเรือนพิพาทจากเจ้าของเรือนให้ออกไปจากเรือน ก็ไม่ได้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากเจ้าของเดิมปลูกเรือนจำเลยที่ 2-3 เป็นผู้เช่าเรือนนั้นบัดนี้หมดสัญญาเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยที่ 1 แล้ว และแจ้งให้จำเลยที่ 2-3 ทราบแล้ว จำเลยทั้งสามเพิกเฉยเสีย จึงขอให้ศาลขับไล่จำเลย
จำเลยที่ 2-3 ต่อสู้ว่าเช่าเรือนจากนางบุญช่วย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นฟังว่า สัญญาเช่าที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับเจ้าของที่ดินเดิมระงับแล้ว จำเลยที่ 2, 3 ไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ จึงพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยที่ 1 รื้อเรือนไปจากที่ดินด้วย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับนายผ่อนจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากนางสาวปลั่งเจ้าของที่ดินคนเดิมนั้น เมื่อสัญญาเช่าสิ้นอายุและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วนายผ่อนจำเลยก็ไม่มีสิทธิอะไรในที่ดินที่เช่านั้นอีก แต่ที่ศาลล่างบังคับให้นายผ่อนจำเลยรื้อเรือนพิพาทไปด้วยนั้น ปรากฏว่าเรือนพิพาทเป็นของนางบุญช่วย ไม่ใช่ของนายผ่อนโจทก์ยังมิได้ฟ้องร้องว่ากล่าวกับนางบุญช่วยในเรื่องเรือนที่ปลูกอยู่นี้ จึงยังไม่มีใครชี้ว่านางบุญช่วยมีอำนาจที่จะคงปลูกเรือนพิพาทอยู่ในที่ของโจทก์หรือไม่ และจะบังคับให้จำเลยที่ 2-3 ซึ่งเป็นผู้เช่าเรือนพิพาทของนางบุญช่วยให้ออกไปจากเรือนพิพาทไม่ได้
จึงพิพากษาแก้ว่า ให้ขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินของโจทก์คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย ฯลฯ