คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7872/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ตามข้อกล่าวอ้างว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แต่เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ อันเป็นเหตุให้ศาลวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีว่าคำฟ้องโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้รับฟังได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีที่ได้ฟ้องแล้ว เมื่อคดีถึงที่สุดโจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใหม่ในประเด็นเดียวกัน จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รื้อถอนบ้านเลขที่ 3 ให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนบ้านเลขที่ 88 ให้จำเลยที่ 3 รื้อถอนบ้านไม่มีเลขที่ ให้จำเลยทั้งสามขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เคยนำคดีมาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 790/2536 ศาลมีคำสั่งไม่รับบัญชีพยานโจทก์แล้วพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องใหม่จึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ที่ดินตามฟ้องอยู่ในเขตที่ของกรมชลประทาน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องออกมาโดยมิชอบ จำเลยที่ 3 ปลูกบ้านพักอาศัยในที่ดินพิพาทและครอบครองตั้งแต่ ปี 2537 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำเลยทั้งสามต่างเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินแปลงดังกล่าวตามแผนที่พิพาท และในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 790/2536 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาท มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ ในปัญหานี้เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 790/2536 โจทก์มีภาระการพิสูจน์ตามข้อกล่าวอ้างว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แต่เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ อันเป็นเหตุให้ศาลวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีว่า คำฟ้องโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้รับฟังได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีที่ได้ฟ้องแล้ว เมื่อคดีถึงที่สุด โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใหม่ในประเด็นเดียวกัน จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคแรก ส่วนปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประเด็นข้อที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 3 หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง โจทก์ฎีกาโต้เถียงว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่เป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง อันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง สำหรับประเด็นข้อนี้จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share