คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7870/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าเพิกถอนคำวินิจฉัยว่าทรัพย์สินของโจทก์ตามฟ้องเป็นทรัพย์สินของ ส.ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 26ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับ ส.แล้ว โจทก์จึงมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิโดยคำสั่งดังกล่าวอีกต่อไปกรณีย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเงินฝากที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยฟูจิ จำกัด จำนวน 1,439,489.84 บาทกับเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทสปริงแคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัดจำนวน 4,998 หุ้น มูลค่า 499,800 บาท ซึ่งอยู่ในชื่อของนางบุญศรี ปิ่นขยัน 3,998 หุ้น และในชื่อของนางสลิล ปิ่นขยัน1,000 หุ้น จำเลยทั้งเก้าในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้ใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 26 มีคำสั่งอายัดและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของโจทก์ดังกล่าวและวินิจฉัยว่าทรัพย์สินของโจทก์เป็นของนายสุบิน ปิ่นขยัน นักการเมืองที่มีพฤติการณ์อันส่อแสดงให้เห็นว่ามีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติ ผิดวิสัยของผู้ประกอบอาชีพโดยสุจริตการกระทำของจำเลยทั้งเก้าก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์กล่าวคือโจทก์ไม่อาจใช้สอยและจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของโจทก์ได้ขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าเพิกถอนคำวินิจฉัยว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของนายสุบินที่มีเพิ่มขึ้นผิดปกติ หากจำเลยทั้งเก้าไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งเก้า
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นว่า ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 26 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ข้อ 6 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 26 ลงวันที่25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 มาตรา 3 บัญญัติให้ทรัพย์สินที่คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบหรือเพิ่มขึ้นผิดปกตินั้นตกเป็นของแผ่นดิน และให้สิทธิบุคคลที่ถูกคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวินิจฉัยดังกล่าวเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิยื่นคำขอพิสูจน์ต่อศาลแพ่งว่าตนได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยชอบและขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นได้ หาได้ให้สิทธิแก่บุคคลโดยทั่ว ๆ ไปไม่ โจทก์ไม่ใช่ผู้ที่ถูกคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวินิจฉัยว่าร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเก้าในฐานะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ซึ่งตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติดังกล่าว ข้อ 2 ให้ความคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินไว้ บุคคลใดจะฟ้องร้องหรือดำเนินคดีแพ่งหรืออาญาใด ๆ มิได้ คดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไปตามรูปคดี
จำเลยทั้งเก้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งเก้าในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับทรัพย์สินตามฟ้องโจทก์นั้น ต่อมาได้มีคำสั่งศาลฎีกาที่ 921/2536ระหว่างนายสุบิน ปิ่นขยัน ผู้ร้อง พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้คัดค้าน ลงวันที่ 29 มีนาคม 2536ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับนายสุบินผู้ร้องแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งเก้าว่า กรณีมีเหตุที่จะรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาหรือไม่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าเพิกถอนคำวินิจฉัยว่าทรัพย์สินของโจทก์ตามฟ้องเป็นทรัพย์สินของนายสุบิน ปิ่นขยัน ที่มีเพิ่มขึ้นผิดปกติ หากจำเลยทั้งเก้าไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับนายสุบินแล้วโจทก์จึงมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิโดยคำสั่งดังกล่าวอีกต่อไป กรณีย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษา ฎีกาของจำเลยทั้งเก้าฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share