คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 787/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันชีวิตต่อมาบริษัท ท. จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำเลยขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2543 โดยรับโอนงานในส่วนประกันชีวิตจากบริษัท ท. มา ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2535 ถึงวันที่ 26 มีนาคม 2543 บริษัท ท. ยังคงประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันชีวิตทั้งสองประเภทควบคู่มาด้วยกันโดยยังไม่ได้จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามมาตรา 121 วรรคสอง แต่เป็นการประกอบธุรกิจประกันชีวิตภายใต้บทบัญญัติมาตรา 121 วรรคหนึ่ง ที่ให้กระทำต่อไปได้ภายใต้เงื่อนไขว่าบริษัท ท. ต้องแยกรายรับและรายจ่ายของธุรกิจประกันชีวิตออกเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากรายรับและรายจ่ายของธุรกิจประกันวินาศภัย ดังนั้น งานในส่วนประกันวินาศภัยและงานในส่วนประกันชีวิตต่างก็เป็นงานของบริษัท ท. ผู้เป็นนายจ้างของโจทก์
หนังสือสัญญาข้อตกลงรับทราบเงื่อนไขในการจ้างทำขึ้นในตอนที่โจทก์เข้าเป็นลูกจ้างทดลองงานเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2547 แต่ข้อความตามหนังสือก็ระบุว่าเป็นเงื่อนไขในการจ้างในระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัท ท. ไม่ได้ระบุว่าเป็นเงื่อนไขที่ใช้เฉพาะในระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างทดลองงานเท่านั้น โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของบริษัท ท. และทำงานตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ดังนั้น การที่บริษัท ท. ให้โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานบริการวินาศภัยทำงานประกันชีวิตด้วย งานประกันชีวิตซึ่งเป็นธุรกิจส่วนหนึ่งของบริษัท ท. จึงเป็นงานในความรับผิดชอบของโจทก์โดยชอบด้วยเงื่อนไขในการจ้าง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่โจทก์ทำงานประกันชีวิตให้บริษัท ท. ต่อมาในวันที่ 27 มีนาคม 2543 จำเลยซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งขึ้น ก็รับโอนทรัพทย์สิน หนี้สิน ความรับผิดชอบตามกรมธรรม์และลูกจ้างในส่วนธุรกิจประกันชีวิตจากบริษัท ท. แต่ไม่ได้รับโอนโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างในส่วนธุรกิจประกันวินาศภัยมาด้วย และหลังจากวันที่ 27 มีนาคม 2543 ถึงวันที่โจทก์ถูกเลิกจ้าง จำเลยมิได้ให้โจทก์ทำงานประกันชีวิต โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันชีวิต ต่อมาได้แยกธุรกิจประกันวินาศภัยกับธุรกิจประกันชีวิตออกจากกันตามผลแห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 ก่อนโจทก์เข้าทำงาน 3 ปี แต่สถานที่ทำงานของธุรกิจทั้งสองอยู่ในสำนักงานเดียวกัน โจทก์เข้าเป็นลูกจ้างของบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ประจำสาขามหาสารคาม ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2537 ต่อมาย้ายไปประจำสาขานครราชสีมา แล้วถูกเลิกจ้างในวันที่ 22 เมษายน 2543 โจทก์ทำงานในตำแหน่งพนักงานบริการวินาศภัย สังกัดส่วนขยายงานวินาศภัย แผนกการตลาดวินาศภัย ฝ่ายวินาศภัย ซึ่งอยู่ในธุรกิจประกันวินาศภัย ต่อมาธุรกิจประกันวินาศภัยจดทะเบียนเป็นบริษัทมิตรแท้ประกันภัย จำกัด ธุรกิจประกันชีวิตจดทะเบียนเป็นบริษัทไทยประสิทธิเนชั่นไวด์ จำกัด ต่อมาจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทเนชั่นไวด์ประกันชีวิต จำกัดแล้วจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด คือจำเลย ตามสัญญาจ้างแรงงานโจทก์เป็นพนักงานประกันวินาศภัย ไม่มีส่วนควบงานประกันชีวิต จำเลยให้โจทก์ทำงานประกันชีวิตด้วย จึงเกิดเป็นสัญญาจ้างแรงงานเป็นรายวันโดยปริยาย โจทก์ทำงานประกันชีวิตตลอดเวลาที่ทำงานให้จำเลยแต่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ จำเลยต้องรับผิดในค่าจ้างวันทำงานปกติ 732 วัน วันละ 145 บาท เป็นเงิน 106,140 บาท ค่าทำงานในวันหยุด 269 วัน วันละ 290 บาท เป็นเงิน 78,010 บาท ค่าล่วงเวลา 48 วัน วันละ 4 ชั่วโมง เหมาจ่ายวันละ 150 บาท เป็นเงิน 7,200 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1,825 วัน เป็นดอกเบี้ย 143,512.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 334,862.50 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 334,862.50 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมจำเลยประกอบธุรกิจประกันชีวิตรวมอยู่ในบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ต่อมาพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 มาตรา 121 วรรคสอง บังคับให้บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ต้องจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิต และต้องแยกธุรกิจประกันวินาศภัยกับธุรกิจประกันชีวิตให้เสร็จสิ้นภายใน 8 ปี คือภายในวันที่ 10 เมษายน 2543 จำเลยเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่และรับโอนทรัพย์สิน หนี้สินความรับผิดชอบตามกรมธรรม์และลูกจ้างในส่วนธุรกิจประกันชีวิตทั้งหมดจากบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด จำเลยจดทะเบียนครั้งแรกใช้ชื่อว่าบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทไทยประสิทธิเนชั่นไวด์ จำกัด บริษัทเนชั่นไวด์ประกันชีวิต จำกัด และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด ในขณะที่โจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2537 จำเลยยังคงใช้ชื่อว่าบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ยังดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันชีวิต โจทก์ทำหน้าที่รับจ่ายเงินหรือบริการลูกค้าทั้งในส่วนธุรกิจประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันชีวิตที่จำเลยดำเนินกิจการควบคู่กันอยู่ทุกสาขาของจำเลย จำเลยเพิ่งแยกธุรกิจประกันชีวิตออกจากธุรกิจประกันวินาศภัยในวันที่ 27 มีนาคม 2543 จำเลยจึงได้รับโอนการดำเนินธุรกิจประกันชีวิตออกมาจากธุรกิจประกันวินาศภัยตั้งแต่จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานจนถึงวันที่ 27 มีนาคม 2543 โจทก์ทำงานให้จำเลยคือบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ในธุรกิจทั้งสองส่วน จำเลยแบ่งการทำงานออกเป็นประกันวินาศภัยกับประกันชีวิตเฉพาะลูกจ้างที่ทำงานประจำสำนักงานใหญ่ ส่วนลูกจ้างที่ทำงานประจำสาขาซึ่งรวมถึงโจทก์ (ที่ทำงานที่สาขามหาสารคามแล้วย้ายมาที่สาขานครราชสีมา) ต้องรับผิดชอบงานทั้งประกันวินาศภัยและประกันชีวิต จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตั้งแต่โจทก์เข้าทำงานถึงวันที่ 27 มีนาคม 2543 (วันที่จำเลยแยกประกอบธุรกิจประกันชีวิตออกจากธุรกิจประกันวินาศภัย) เป็นประจำทุกเดือนครบถ้วน ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลางคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 ในตำแหน่งพนักงานบริการวินาศภัย ออกจากงานเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2543 (ที่ถูกวันที่ 22 เมษายน 2543 ตามเอกสารหมาย จ.ล.7) ระหว่างทำงานโจทก์ได้รับค่าจ้างจากบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด มาโดยตลอด บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด จดทะเบียนแยกธุรกิจประกันชีวิตตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2543 และได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อหลายครั้งจนเป็นบริษัทฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด จำเลย ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยประกอบธุรกิจประกันชีวิตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานบริการวินาศภัย สังกัดส่วนขยายงานวินาศภัย แผนกการตลาดวินาศภัย ฝ่ายวินาศภัย สาขามหาสารคาม ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2538 (ที่ถูกวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2538 ตามหนังสือแจ้งบรรจุเอกสารหมาย จ.ล.5) บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด เลิกจ้างโจทก์วันที่ 22 เมษายน 2543 ระหว่างทำงานที่บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด โจทก์ทำงานทั้งประกันวินาศภัยและประกันชีวิต โจทก์ได้รับค่าจ้างจากบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ครบถ้วนจนถึงวันเลิกจ้าง จำเลยจดทะเบียนแยกบริษัทจากบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด มาตั้งบริษัทประกอบธุรกิจประกันชีวิตเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2543 จำเลยต้องรับโอนทรัพย์สิน หนี้สิน ความรับผิดชอบตามกรมธรรม์และลูกจ้างในส่วนธุรกิจประกันชีวิตจากบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด แล้ววินิจฉัยว่า ก่อนวันที่ 27 มีนาคม 2543 บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันชีวิตยังเป็นบริษัทเดียวกัน ธุรกิจประกันชีวิตไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นนายจ้างโจทก์ โจทก์ยังเป็นลูกจ้างบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด มอบหมายให้โจทก์ทำงานประกันวินาศภัยและประกันชีวิตอันเป็นการทำงานตามวัตถุประสงค์ของบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด หลังจากจำเลยจดทะเบียนจัดตั้งในวันที่ 27 มีนาคม 2543 รับโอนงานในส่วนประกันชีวิตจากบริษัทไทยประสิทธิประกันภัยจำกัด แต่โจทก์อยู่ในสายงานประกันวินาศภัยจึงไม่ได้โอนมาเป็นลูกจ้างของจำเลย ยังคงเป็นลูกจ้างบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด การที่บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด นายจ้างของโจทก์มอบให้โจทก์ทำงานประกันชีวิตอีกหน้าที่หนึ่งโดยโจทก์ไม่โต้แย้ง ถือว่าโจทก์ทำงานให้นายจ้างตามคำสั่งของนายจ้าง เมื่อนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ครบถ้วนจนถึงวันเลิกจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นลูกจ้างบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ในส่วนธุรกิจประกันภัย บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ให้โจทก์ทำงานประกันวินาศภัยและประกันชีวิต บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกค่าจ้างจากจำเลยอีกหรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันชีวิต ตำแหน่งพนักงานบริการวินาศภัยสังกัดส่วนขยายงานวินาศภัย แผนกการตลาดวินาศภัย ฝ่ายวินาศภัย สาขามหาสารคาม เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ให้โจทก์ทำงานทั้งประกันวินาศภัยและประกันชีวิต จำเลยจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามใบอนุญาตเลขที่ 2/2543 ลงวันที่ 27 มีนาคม 2543 ตามเอกสารหมาย จ.ล.2 รับโอนงานในส่วนประกันชีวิตจากบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 มาตรา 121 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยซึ่งได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิตอยู่ก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 ใช้บังคับ (ใช้บังคับเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2535) ให้บริษัทนั้นประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามใบอนุญาตต่อไปได้ภายในเงื่อนไข “(2) ต้องแยกรายรับและรายจ่ายของธุรกิจประกันชีวิตออกเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากรายรับและรายจ่ายของธุรกิจประกันวินาศภัย” วรรคสองบัญญัติให้บริษัทขึ้นใหม่เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 ให้แล้วเสร็จภายใน 8 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 ใช้บังคับ แสดงว่าตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2535 ถึงวันที่ 26 มีนาคม 2543 บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ยังคงประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยและธุรกิจประกันชีวิตทั้งสองประเภทควบคู่มาด้วยกันโดยยังไม่ได้จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามมาตรา 121 วรรคสอง แต่เป็นการประกอบธุรกิจประกันชีวิตภายใต้บทบัญญัติ มาตรา 121 วรรคหนึ่ง ที่ให้กระทำต่อไปได้ภายใต้เงื่อนไขว่าบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ต้องแย้งรายรับและรายจ่ายของธุรกิจประกันชีวิตออกเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากรายรับและรายจ่ายของธุรกิจประกันวินาศภัย ดังนั้น งานในส่วนประกันวินาศภัยและงานในส่วนประกันชีวิตต่างก็เป็นงานของบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ผู้เป็นนายจ้างของโจทก์ ปรากฏตามหนังสือสัญญาข้อตกลงรับทราบเงื่อนไขในการจ้างเอกสารท้ายคำแถลงการณ์หมายเลข 4 ของโจทก์ว่า “3.ในระหว่างการเป็นพนักงาน (ลูกจ้าง) ของบริษัทฯ (บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด) ข้าพเจ้า (โจทก์) จะปฏิบัติตามคำสั่งของบริษัทฯ… รวมทั้งการปฏิบัติงานอื่นๆ ของบริษัทฯ ตามที่ผู้บังคับบัญชาจะได้มอบหมายต่อไป” แม้ว่าหนังสือฉบับนี้จะทำขึ้นในตอนที่โจทก์เข้าเป็นลูกจ้างทดลองงานเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2547 แต่ข้อความตามหนังสือก็ระบุว่าเป็นเงื่อนไขในการจ้างในระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ไม่ได้ระบุว่าเป็นเงื่อนไขที่ใช้เฉพาะในระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างทดลองงานเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการยกเลิกความข้อนี้โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด และทำงานตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ดังนั้น การที่บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ให้โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานบริการวินาศภัยทำงานประกันชีวิตด้วย งานประกันชีวิตซึ่งเป็นธุรกิจส่วนหนึ่งของบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด จึงเป็นงานในความรับผิดชอบของโจทก์โดยชอบด้วยเงื่อนไขในการจ้าง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างที่โจทก์ทำงานประกันชีวิตให้บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด เพิ่มขึ้นจากค่าจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ต่อมาในวันที่ 27 มีนาคม 2543 จำเลยซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามใบอนุญาตเลขที่ 2/2543 ก็รับโอนทรัพย์สิน หนี้สิน ความรับผิดชอบตามกรมธรรม์และลูกจ้างในส่วนธุรกิจประกันชีวิตจากบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด แต่ไม่ได้รับโอนซึ่งเป็นลูกจ้างในส่วนธุรกิจประกันวินาศภัยมาด้วย และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามใบรับเงินเบี้ยประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 9 และเอกสารท้ายคำแถลงการณ์หมายเลข 7 ของโจทก์ว่าหลังจากวันที่ 27 มีนาคม 2543 ถึงวันที่โจทก์ถูกเลิกจ้าง จำเลยได้ให้โจทก์ทำงานประกันชีวิต โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างจากจำเลยอุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share