คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 787/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงหนึ่งให้โจทก์ ได้รับเงินมัดจำไปแล้ว 25,000 บาท ถ้าผิดสัญญายอมให้โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายได้อีก 25,000 บาท แต่ต่อมาปรากฏว่าไม่มีที่ดินขายให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยข้อหาฉ้อโกง ระหว่างพิจารณาคดีอาญาดังกล่าว ทนายโจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันยื่นคำร้องว่าจำเลยได้ชำระเงินให้แก่โจทก์แล้ว 10,000 บาทส่วนที่เหลือ 20,000 บาท จำเลยจะนำมาชำระภายในเวลาที่กำหนด โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับจำเลยต่อไปโจทก์ขอถอนฟ้องและศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ข้อตกลงของโจทก์จำเลยตามคำร้องดังกล่าวจึงเป็นการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าเสียหายกรณีผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันข้อตกลงนี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้มูลหนี้ตามสัญญาเดิมระงับ

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2518 จำเลยตกลงจะขายที่ดิน1 แปลง ราคา 65,000 บาทให้แก่โจทก์ โจทก์วางเงินมัดจำ 25,000 บาทให้จำเลยรับไป กำหนดโอนที่ดินภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2518 หากจำเลยผิดสัญญายอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 25,000 บาทอีกส่วนหนึ่ง ถึงกำหนดจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินให้โจทก์ได้ เพราะจำเลยไม่มีที่ดิน ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์รวมเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เสร็จ

จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาจะขายที่ดินและได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ตามฟ้องจริง แต่โจทก์ผิดสัญญาเพราะไม่นำเงินที่เหลืออีก 40,000 บาท มาชำระให้จำเลย และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์เคยฟ้องจำเลยข้อหาฐานฉ้อโกง ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกัน โดยทนายโจทก์ ยอมถอนฟ้องจำเลยยอมชำระเงินมัดจำและค่าเสียหายรวม 30,000 บาท โดยจำเลยได้ชำระเงินให้นายดิเรก ขาวสะอาดทนายโจทก์ (จำเลยร่วมคดีนี้) ไปครบถ้วนแล้ว มูลหนี้ตามสัญญาจึงระงับไป ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยขอให้เรียกนายดิเรก ขาวสะอาดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยร่วมให้การว่าได้รับเงิน 30,000 บาท และมอบให้โจทก์แล้ว จำเลยร่วมถอนฟ้องคดีอาญาเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบไม่ต้องรับผิด

ศาลชั้นต้นฟังว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา จำเลยได้จ่ายเงินให้แก่ทนายโจทก์คือโจทก์ร่วมคดีนี้ไปแล้ว 30,000 บาท และจำเลยร่วมได้จ่ายเงินให้โจทก์ไปแล้ว 15,000 บาท จำเลยไม่มีที่ดินจะขายให้โจทก์ตามสัญญาข้อ 4 โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ก็ต่อเมื่อจำเลยไม่ยอมขายที่ดินให้โจทก์ จึงถือว่าจำเลยผิดนัดไม่ได้ จำเลยต้องคืนมัดจำให้โจทก์ และเชื่อว่าที่จำเลยกับทนายโจทก์ (จำเลยร่วม) ตกลงใช้เงิน 30,000 บาทนั้นรวมถึงเงินมัดจำด้วย โจทก์ได้รับเงินจากจำเลยร่วมแล้ว15,000 บาท พิพากษาให้จำเลยร่วมชำระเงินส่วนที่เหลือ 10,000 บาทให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราตามขอนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยใช้เงินตามฟ้อง

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหาย และการที่จำเลยกับทนายโจทก์ (จำเลยร่วม) ร่วมกันยื่นคำร้องในคดีอาญา โดยจำเลยยอมใช้เงินให้โจทก์ 30,000 บาท และโจทก์ยอมถอนฟ้องคดีอาญานั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ หนี้ตามสัญญาเดิมจึงระงับไป จำเลยมีหน้าที่ชำระเงิน 30,000 บาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้แก่โจทก์กลับไปชำระให้จำเลยร่วมจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ เพราะมิได้มอบอำนาจให้จำเลยร่วมรับเงิน โจทก์ได้รับแล้ว 15,000 บาท จำเลยต้องชำระให้โจทก์อีก 15,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราตามฟ้อง

โจทก์ฎีกาว่า มูลหนี้ตามสัญญายังไม่ระงับเพราะจำเลยยอมใช้เงินแก่โจทก์ 30,000 บาทเป็นค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่ามูลหนี้ตามสัญญาระงับหรือไม่

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดิน 2 แปลง ราคา 65,000 บาทให้โจทก์ และได้รับเงินมัดจำไปแล้ว 25,000 บาท ถ้าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญายอมให้โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายได้อีกเป็นเงิน 25,000 บาท ต่อมาปรากฏว่าจำเลยไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง และมีผู้อื่นร้องคัดค้านเกี่ยวกับที่ดินซึ่งจำเลยทำสัญญาจะขายให้โจทก์ โจทก์จึงร้องเรียนต่อผู้บังคับกองสถานีตำรวจท้องที่ให้ช่วยไกล่เกลี่ยให้จำเลยคืนเงินมัดจำ แต่ไม่เป็นผล โจทก์จึงมอบให้นายดิเรก ขาวสะอาดทนายซึ่งเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงโดยมิได้ขอให้ศาลสั่งและบังคับจำเลยตามคำขอส่วนแพ่ง ระหว่างพิจารณาทนายโจทก์ (จำเลยร่วม) กับจำเลยยื่นคำร้องร่วมกันว่าจำเลยได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ในวันนี้ (วันที่ 25 เมษายน 2518) 10,000 บาท ส่วนที่เหลือ 20,000 บาท จำเลยจะนำมาชำระให้ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2518 โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับจำเลยต่อไปโจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องได้ ต่อมาวันที่ 24 ธันวาคม 2518 โจทก์ยื่นคำร้องขอบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง และปรากฏว่าจำเลยชำระเงินให้ทนายโจทก์ (จำเลยร่วม) ครบ 30,000 บาทในวันที่ 18 ธันวาคม 2518 แต่ทนายโจทก์ไม่นำไปมอบให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยร่วม 15,000 บาท

สำหรับปัญหาว่ามูลหนี้ตามสัญญาระงับไปหรือไม่ แม้ตามคำร้องของโจทก์จำเลยลงวันที่ 25 เมษายน 2518 ไม่ได้ความชัดเจนว่า เงิน 30,000 บาทที่จำเลยชำระให้โจทก์เป็นค่าอะไร แต่เมื่อพิเคราะห์เหตุผลแวดล้อมต่าง ๆ ประกอบกับข้อที่ว่า มีจำนวนใกล้เคียงกับเงินมัดจำที่จำเลยรับไปจากโจทก์ เมื่อโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานตำรวจไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ก็ขอคืนเพียงเงินมัดจำ โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงโดยมิได้มีคำขอให้คืนมัดจำและให้ใช้ค่าเสียหาย เมื่อครบกำหนดชำระเงินกันแล้วโจทก์ยังไม่ได้รับเงิน โจทก์ขอให้ดำเนินการบังคับคดีกับจำเลย และเพิ่งฟ้องคดีนี้ภายหลังจากที่ทราบว่าจำเลยร่วมได้รับเงิน 30,000 บาทจากจำเลยแล้วแต่ไม่นำไปมอบให้โจทก์ ดังนี้ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยยอมใช้เงิน 30,000 บาท ให้นั้น เป็นการใช้คืนมัดจำ 25,000 บาท ส่วนอีก 5,000 บาทเป็นค่าเสียหายที่โจทก์จำเลยลดหย่อนกันลงมาจากจำนวนเดิม 25,000 บาท ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายโจทก์ (จำเลยร่วมในคดีนี้)มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาเฉพาะคดีอาญาเท่านั้น การตกลงในคดีอาญาจึงไม่ผูกพันถึงค่าเสียหายในคดีนี้ เห็นว่า สัญญาที่ทนายโจทก์(จำเลยร่วมในคดีนี้) ลงชื่อแทนโจทก์โดยมิได้รับมอบอำนาจจากโจทก์นั้นหาตกเป็นโมฆะไม่ เมื่อปรากฏว่าตัวโจทก์ได้ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลชั้นต้นบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยเพื่อบังคับให้ชำระหนี้ตามที่ตกลงกันในคดีอาญานั้นถือว่าเป็นการให้สัตยาบันแล้วการนั้นจึงผูกพันโจทก์ เมื่อข้อตกลงตามคำร้องลงวันที่ 25 เมษายน 2518 เป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าเสียหายกรณีผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ข้อตกลงนี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มูลหนี้ตามสัญญาเดิมย่อมระงับไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share