คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7844/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีที่จำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 6 ในคดีของศาลแพ่งธนบุรีมีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ค้ำประกันและจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้จริงหรือไม่ เมื่อศาลแพ่งธนบุรีได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยให้โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยแล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะได้ฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนคดีของศาลแพ่งธนบุรีแต่เมื่อศาลแพ่งธนบุรีได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1707, 1708 ตำบลปลายบาง (ศีศะคุ) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่แปลงละ 1 งาน เมื่อประมาณต้นเดือนเมษายน 2540 โจทก์ได้รับหนังสือจากจำเลยแจ้งว่าบัญชีของโจทก์ขาดการชำระหนี้ โจทก์ไปติดต่อจำเลยสาขาเล่งเน่ยยี่จึงทราบว่ามีการนำที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงดังกล่าวข้างต้นไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.พี.คาร์แลนด์ เป็นจำนวนเงิน 800,000 บาท ซึ่งความจริงแล้ว โจทก์ไม่เคยนำที่ดินทั้งสองแปลงไปวางเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.พี.คาร์แลนด์ และไม่เคยลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันใด ๆ ไว้แก่จำเลย อีกทั้งไม่เคยกู้ยืมเงินจากจำเลย และไม่เคยไปติดต่อจำเลยที่สาขาเล่งเน่ยยี่ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2537 โจทก์ไม่ได้ไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาบางใหญ่ และไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาจำนองหรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้อง และโจทก์มิได้มอบหมายให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งลงลายมือชื่อแทนโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญาจำนองและเอกสารอื่น ๆ เป็นลายมือชื่อปลอม สัญญาจำนองตกเป็นโมฆะ จำเลยไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ได้ตามกฎหมาย ขอให้พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนนิติกรรมจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1707, 1708 ตำบลปลายบาง (ศีศะคุ) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี และให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินดังกล่าวทั้งสองแปลงและให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวข้างต้นคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน กล่าวคือ โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.พี.คาร์แลนด์ ซึ่งเป็นลูกค้าของจำเลยสาขาเล่งเน่ยยี่ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2536 ห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.พี.คาร์แลนด์ ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับจำเลย หลังจากนั้นได้เดินสะพัดทางบัญชีต่อกันเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ 6 กันยายน 2537 ห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.พี.คาร์แลนด์ ก็ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยในวงเงิน 800,000 บาท โจทก์ได้ยินยอมเข้าผูกพันตนเองเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวในวงเงิน 800,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 2 แปลง ตามฟ้อง จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ดังกล่าวไว้แก่จำเลยอีกด้วย การทำสัญญาค้ำประกันและจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันนั้น โจทก์ได้มาติดต่อกับจำเลยและลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองด้วยตนเองต่อหน้าพยานและเจ้าพนักงานที่ดิน ครั้นต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.พี.คาร์แลนด์ ได้เบิกเงินเกินบัญชีและไม่ปฏิบัติตามสัญญาโดยผิดนัดชำระหนี้จำเลย จำเลยจึงได้ส่งเรื่องไปให้ฝ่ายพัฒนาหนี้ดำเนินการเร่งรัดหนี้สินและเตรียมดำเนินคดีและแจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์เข้าทำสัญญาจำนองที่ดินตามฟ้องโดยมีเจตนาที่จะผูกนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายกับจำเลย สัญญาจำนองที่ดินจึงมีผลสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายหาได้ตกเป็นโมฆะไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1707, 1708 ตำบลปลายบาง (ศีศะคุ) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ระหว่างโจทก์กับจำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 1132/2543 ของศาลแพ่งธนบุรี ระหว่าง ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) โจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.พี.คาร์แลนด์ ที่ 1 นายวีรพล ที่ 2 นางกุลฐิติรัตน์หรือ กาญจนี ที่ 3 นายกรุง ที่ 4 นางกมลวรรณ ที่ 5 นายวิโรจน์ (โจทก์ในคดีนี้) ที่ 6 จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 หรือไม่ ปัญหานี้แม้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้และไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เมื่อเห็นสมควรเพราะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 ได้ตรวจดูสำเนาคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1132/2543 ของศาลแพ่งธนบุรี เอกสารหมาย ล.6 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ในคดีนี้ถูกจำเลยในคดีนี้ฟ้องเป็นจำเลยที่ 6 ในคดีดังกล่าวโดยฟ้องให้โจทก์ในคดีนี้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน และจำนองที่ดินแปลงพิพาทในคดีนี้ไว้แก่จำเลยคดีนี้ ศาลแพ่งธนบุรีได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วว่าจำเลยที่ 6 (โจทก์ในคดีนี้) ทำสัญญาค้ำประกันและจำนองที่ดินแปลงพิพาทคดีนี้เป็นประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.พี.คาร์แลนด์ ศาลแพ่งธนบุรีได้มีคำพิพากษาลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2543 พิพากษาให้โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดจำนวน 2,646,209.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ในต้นเงิน 800,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งหกไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองโฉนดเลขที่ 1707 และ 1708 ตำบลปลายบาง (ศีศะคุ) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ของจำเลยที่ 6 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท เห็นว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีที่จำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 6 ในคดีดังกล่าว มีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยอยู่ในประเด็นเดียวกันในข้อที่ว่า โจทก์ได้ค้ำประกันและจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้จริงหรือไม่ เมื่อศาลแพ่งธนบุรีได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยให้โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยแล้วตามคำพิพากษาดังกล่าว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะได้ฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนคดีของศาลแพ่งธนบุรีก็ตาม แต่เมื่อศาลแพ่งธนบุรีได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท

Share