คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2521/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาเช่ากันมีกำหนดเวลา 14 ปีและมีข้อความว่า ผู้ให้เช่าจะร่วมกับผู้เช่ายื่นคำร้องขอจดทะเบียนการเช่าภายใน 7 วันนั้น สัญญาเช่ามีระยะเวลาการเช่าเกินกว่า 3 ปี เมื่อยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนการเช่ามีกำหนดเวลา 14 ปีไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตกลงให้โจทก์เช่าโรงเรือนมีกำหนดเวลา 14 ปีจำเลยทำสัญญาเช่าให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักฐาน ในการเช่านี้โจทก์จำเลยตกลงกันด้วยว่า จำเลยจะจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์ โจทก์จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิการเช่าต่อพนักงานจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม เจ้าพนักงานได้ประกาศตามระเบียบ ครบกำหนดจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์ โจทก์ต้องเสียเงินค่าช่วยก่อสร้างตึกตามข้อตกลงระหว่างผู้ก่อสร้างกับจำเลย 44,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการไปจดทะเบียนการเช่าที่อำเภอ 1,200บาท ค่าปรับปรุงห้อง 50,200 บาท หากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์ได้ จำเลยต้องชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนการเช่าห้องมีกำหนด 14 ปีแก่โจทก์ หากจำเลยขัดขืน ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนการเช่าได้ให้จำเลยใช้เงิน 50,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินอันเป็นที่ตั้งของห้องแถวดังกล่าว นายอุดมศักดิ์ ชาญพานิชการ ผู้รับเหมาก่อสร้างห้องแถวได้ตกลงกันจำเลยขอก่อสร้างตึกให้จำเลยโดยจะจัดหาผู้เช่าตึกมาเอง แล้วจะให้ค่าหน้าดิน 40,000 บาท กับจะสร้างถนนให้ด้วย ตกลงแล้วนายอุดมศักดิ์ก็ลงมือก่อสร้างห้องแถว แต่ยังไม่เสร็จ เป็นหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างมากมาย จึงออกอุบายให้คนมาสั่งจองห้องเรียกเก็บแป๊ะเจี๊ยะได้มากแล้วนายอุดมศักดิ์ก็หลบหนีไปยังไม่ได้ชำระค่าหน้าดินให้จำเลย ถนนก็ยังไม่ได้สร้างต่อมาโจทก์มาอ้างกับจำเลยว่าเป็นผู้เช่าห้อง ได้ชำระเงินค่าจองห้องให้นายอุดมศักดิ์ไปแล้วจะขอเข้าอยู่ในห้องพิพาท สามีจำเลยจำโจทก์ได้ว่าโจทก์เคยขอให้นายอุดมศักดิ์พาจำเลยไปจดทะเบียนเช่าให้โจทก์ แต่นายอุดมศักดิ์ไม่ยอม เพราะยังไม่ได้รับชำระเงินจำเลยจึงไม่ยอมให้โจทก์เข้าอยู่ โจทก์ได้ตกลงกับสามีจำเลยว่าจะตามนายอุดมศักดิ์มาให้หากตามตัวมาได้สามีจำเลยจะต้องตอบแทนโจทก์โดยไปจดทะเบียนการเช่าและยอมให้โจทก์เข้าอยู่ในห้องพิพาท ถ้าตามตัวมาไม่ได้ก็ให้เลิกแล้วต่อกัน แล้วโจทก์จำเลยได้พากันไปอำเภอเล่าข้อตกลงให้เจ้าพนักงานฟัง มีการทำสัญญาเช่ากันไว้และปิดประกาศ แล้วโจทก์กับบริวารขนของเข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยสามีจำเลยมิได้ยินยอม ต่อมาโจทก์ตามตัวนายอุดมศักดิ์มาไม่ได้สามีจำเลยขับไล่โจทก์ โจทก์ได้ขนของย้ายออกไป การทำสัญญาเช่าก็โดยเจตนาเพียงจะให้เช่าอสังหาริมทรัพย์โดยวิธีจดทะเบียนเมื่อโจทก์ตามตัวนายอุดมศักดิ์มาได้แล้ว เมื่อยังไม่ได้จดทะเบียนเพราะความผิดของโจทก์ โจทก์จะบังคับจำเลยไม่ได้ โจทก์ใช้กลฉ้อฉลให้สามีจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้น สัญญาเช่าท้ายฟ้องจึงเสียไปเพราะความสำคัญผิดและกลฉ้อฉลของโจทก์ ไม่มีผลบังคับ หากบังคับได้โจทก์มีสิทธิเพียง 3 ปีเท่านั้น จำเลยมิได้ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยไม่เคยได้รับเงินของโจทก์ ค่าใช้จ่ายในการปิดประกาศ เจ้าพนักงานเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของโจทก์เอง ค่าปรับปรุงห้องราคา 100 บาทเท่านั้น โจทก์ทำเพื่อประโยชน์ของโจทก์เอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์มีกำหนดเวลา 14 ปี หากจำเลยขัดขืนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าไม่สามารถจดทะเบียนการเช่าได้ ให้จำเลยใช้เงิน 50,200 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์คำขอนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอให้จดทะเบียนการเช่าห้องพิพาท และคำขอให้ใช้เงินช่วยค่าก่อสร้าง 44,000 บาท กับค่าปรับปรุงห้อง 5,000 บาทเสียส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงิน 1,200 บาท ให้คิดแต่วันฟ้องตามโจทก์ขอ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าท้ายฟ้องจริงด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย มิใช่ทำขึ้นด้วยกลฉ้อฉลของโจทก์ สัญญาเช่าจึงผูกพันโจทก์จำเลยตามกฎหมายโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่ากันมีกำหนดเวลา 14 ปี และมีข้อความว่าผู้ให้เช่าจะร่วมกับผู้เช่ายื่นคำร้องขอจดทะเบียนการเช่าภายใน 7 วัน ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า สัญญาเช่าท้ายฟ้องมีระยะเวลาการเช่าเกินกว่า 3 ปี เมื่อยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนการเช่ามีกำหนดเวลา 14 ปีไม่ได้สัญญาเช่าท้ายฟ้องมีผลบังคับเพียง 3 ปีเท่านั้น ในเรื่องค่าเสียหาย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายอุดมศักดิ์กับจำเลยตกลงกันให้นายอุดมศักดิ์สร้างห้องแถวบนที่ดินของจำเลยจำนวน 53 ห้อง ด้วยค่าใช้จ่ายของนายอุดมศักดิ์ โดยนายอุดมศักดิ์มีสิทธิหาผู้เช่าเองและได้รับประโยชน์เงินกินเปล่าจากผู้เช่า ส่วนจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในห้องแถว ได้เงินค่าหน้าดิน และนายอุดมศักดิ์จะสร้างถนนให้จำเลย แสดงให้เห็นว่าจำเลยกับนายอุดมศักดิ์มีผลประโยชน์ร่วมกันโจทก์ได้ชำระเงินกินเปล่า 44,000 บาท ให้แก่นายอุดมศักดิ์ไปแล้ว เงินจำนวนดังกล่าวเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของนายอุดมศักดิ์กับจำเลยซึ่งจำเลยมีส่วนต้องรับผิดเมื่อสัญญาเช่าที่โจทก์จำเลยทำกันไว้มีกำหนด 14 ปี แม้สัญญาเช่ามีผลบังคับ 3 ปี และโจทก์มีสิทธิได้ใช้ประโยชน์ในห้องพิพาทภายในระยะเวลานั้น แต่จำเลยมอบห้องพิพาทให้โจทก์ได้ใช้ประโยชน์เพียง 5 – 6 เดือน สิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับเงินจำนวนนี้ย่อมลดลงตามส่วน เห็นสมควรกำหนดให้จำเลยใช้ให้โจทก์เพียง 42,000 บาท ส่วนค่าตบแต่งหรือซ่อมแซมห้องพิพาทนั้น โจทก์ทำเพื่อประโยชน์ของโจทก์ โดยจำเลยไม่ยินยอม และตามสัญญาเช่าก็มีข้อสัญญากันว่า หากผู้เช่าต่อเติมดัดแปลงห้องที่เช่า ยอมยกกรรมสิทธิ์ให้เจ้าของห้องโดยไม่เรียกร้องค่าทดแทนใด ๆ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวนนี้

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงิน 42,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share