แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตาม ป.อ. มาตรา 209 เป็นความผิดทันทีเมื่อผู้นั้นได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตาม ป.อ. มาตรา 210 เป็นขั้นตอนการกระทำความผิดที่ยกระดับถึงขั้นคบคิดกันหรือตกลงกันหรือประชุมหารือกันเพื่อจะกระทำความผิด สภาพความผิดฐานเป็นอั้งยี่และฐานเป็นซ่องโจรจึงสามารถแยกการกระทำแต่ละความผิดได้ จึงเป็นความผิดหลายกรรม
ย่อยาว
คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 524/2554 และ 525/2554 โดยให้เรียกจำเลยทั้งสองในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 และเรียกจำเลยในคดีดังกล่าวว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ แต่คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 135/1, 209, 210, 221, 222, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 38, 55, 74, 78 ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) วรรคแรก, 222, 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 55 ประกอบมาตรา 78 วรรคหนึ่งและวรรคสาม การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละตลอดชีวิต คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ชั้นสอบสวนและของจำเลยที่ 2 ชั้นซักถาม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ริบของกลางทั้งหมด ยกเว้นรถจักรยานยนต์ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก, 210 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 อีกกระทงหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคสอง อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 3 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดในการทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุกคนละ 35 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า เวลาประมาณ 16.30 นาฬิกา ได้เกิดเหตุระเบิดจากระเบิดแสวงเครื่องที่ร้านยืนยง ร้านย่งฮวด และร้านย่งเฮง ในเขตเทศบาลตำบลรือเสาะ ตำบลรือเสาะออก อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ในร้านยืนยงได้รับอันตรายแก่กาย และทรัพย์สินของผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของร้านแต่ละร้านดังกล่าวได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนไปตรวจร้านเกิดเหตุทั้งสามร้าน พบชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่อง จึงยึดเป็นของกลาง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก่อนว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของร้านยืนยงรู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขณะเกิดเหตุระเบิดในร้านของตนเพียงว่า จำเลยที่ 1 ยืนอยู่ภายในร้าน ส่วนผู้เสียหายที่ 1 ยืนพูดคุยกับจำเลยที่ 2 หน้าร้าน และเห็นจำเลยที่ 1 วิ่งออกมานอกร้านได้รับบาดแผลที่มือข้างขวา หาได้เบิกความว่าเห็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้นำระเบิดมาวางไว้ในร้านและจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำให้เกิดระเบิดขึ้น การที่จำเลยที่ 1 ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดจากการระเบิด จะฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำระเบิดไปวางไว้และทำให้เกิดระเบิดไม่ได้ และฎีกาต่อไปว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เห็นพ้องด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 นำผลการซักถามที่พยานโจทก์ปากพันตำรวจโทณัฐภัทร ซักถามจำเลยที่ 1 และร้อยตำรวจเอกจินดา ซักถามจำเลยที่ 2 โดยมีพยานทั้งสองเบิกความประกอบเอกสาร กับคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกแดนชัย พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความประกอบคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนและบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และภาพถ่ายการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 มารับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพราะล้วนแต่เป็นพยานบอกเล่าที่ไม่มีเหตุผลอันหนักแน่นหรือมีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี อันจะทำให้เชื่อพยานหลักฐานดังกล่าวได้ กับฎีกาต่อไปว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่และซ่องโจร โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นโดยตรงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลหรือสมคบประชุมวางแผนกันเมื่อใด ที่ไหน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ร้านเกิดเหตุอย่างไร การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงโดยอาศัยผลการซักถามกับคำให้การรับสารภาพ ซึ่งโดยลำพังไม่มีน้ำหนักเพียงพอพิสูจน์ความผิดได้ มารับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดดังกล่าว เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งโจทก์มีหน้าที่จะต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบให้รับฟังได้ โดยปราศจากสงสัย เห็นว่า พยานหลักฐานที่จะใช้พิสูจน์ความผิดในคดีบางประเภทโดยเฉพาะการลอบวางระเบิดในคดีก่อการร้าย ซึ่งโดยสภาพความผิดของผู้กระทำความผิดด้วยกันจะต้องเข้มงวดในทุกขั้นตอนการเคลื่อนไหวติดต่อระหว่างกันไว้เป็นความลับ เพื่อมิให้ข้อมูลข่าวสารรั่วไหลหรือระแคะระคายถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจนไหวตัวจับได้ อันจะเกิดผลเสียหายแก่ขบวนการหรือองค์กรของผู้กระทำความผิด จึงเป็นการยากที่จะหาผู้รู้เห็นโดยตรงมาพิสูจน์ความผิดได้ นอกเสียแต่จะอาศัยคำรับสารภาพของผู้กระทำความผิดหรือคำซัดทอดของผู้กระทำความผิดด้วยกัน นำมาพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานอื่นว่า มีความสมเหตุผลให้เชื่อได้หนักแน่นถึงขั้นพิสูจน์ความผิดได้หรือไม่ ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของศาลจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลซึ่งต้องระบุไว้ในคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (6) โดยที่มาของเหตุผลสามารถค้นหาได้จากพยานหลักฐานทุกชนิด เว้นแต่ตามกฎหมายจะห้ามมิให้รับฟัง และเหตุผลที่ดีก็มิใช่มีจำกัดว่าจะพบได้แต่ประจักษ์พยานเท่านั้นหรือต้องมิใช่คำซัดทอดของผู้กระทำความผิดด้วยกันแต่อย่างใด ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าพยานหลักฐานใด ไม่ว่าจะรับฟังโดยลำพังหรือรับฟังประกอบกันแล้วสามารถแสดงเหตุผลที่ยุติข้อเท็จจริง ซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ไม่ว่าจะในทางพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือบริสุทธิ์ ล้วนเป็นพยานหลักฐานที่ดีทั้งสิ้น คดีนี้ ข้อเท็จจริงและเหตุผลที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้วินิจฉัยโดยละเอียดและแสดงเหตุผลไว้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะสภาพพยานหลักฐานที่เป็นพยานบอกเล่าและคำซัดทอดนั้น ได้วินิจฉัยโดยตระหนักเข้าถึงเหตุผลที่ประจักษ์ชัดถึงการได้มาโดยชอบและโดยสมัครใจของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะพบว่า ตามข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 มิได้รับฟังเพียงแต่พยานบอกเล่าโดยลำพัง แต่รับฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ด้วย ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับข้อเท็จจริงและเหตุผลอันหนักแน่นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยกขึ้นวินิจฉัย จึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก ส่วนข้อเท็จจริงและเหตุผลอื่นตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 นอกจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยกขึ้นวินิจฉัยแล้ว ก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 แต่อย่างใด จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า ความผิดฐานเป็นอั้งยี่และความผิดฐานเป็นซ่องโจรเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม เห็นว่า ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 เป็นความผิดทันทีเมื่อผู้นั้นได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ส่วนความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 เป็นขั้นตอนการกระทำความผิดที่ยกระดับถึงขั้นคบคิดกันหรือตกลงกันหรือประชุมหารือกันเพื่อจะกระทำความผิด ดังนี้ สภาพความผิดฐานเป็นอั้งยี่และฐานเป็นซ่องโจรจึงสามารถแยกการกระทำแต่ละความผิดได้ จึงเป็นความผิดหลายกรรม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่า เป็นความผิดกรรมเดียวกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเป็นอั้งยี่และฐานเป็นซ่องโจร เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นอั้งยี่ จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 ปี ฐานเป็นซ่องโจร จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 ปี รวมจำคุกคนละ 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 คงจำคุกคนละ 2 ปี 16 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 แล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 35 ปี 20 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9