แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำสั่งศาลว่าที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 หาอาจใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินกึ่งหนึ่งและไม่ได้ทอดทิ้งที่ดินได้ไม่ ไม่จำเป็นที่ศาลต้องพิพากษาเพิกถอนคำสั่งนั้นเสียก่อน
ย่อยาว
โจทก์เป็นสามีและบุตร ล. ล. มีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ 2961 ร่วมกับสามีจำเลย ล. สาปสูญไป จำเลยร้องขอต่อศาลมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดที่กล่าวส่วนของล. เป็นของจำเลยโดยครอบครองปรปักษ์ ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าคำสั่งศาลดังกล่าวใช้ยันโจทก์ไม่ได้ให้แบ่งที่ดินครึ่งหนึ่ง กับเรือนในที่ดินเป็นของ ล. กึ่งหนึ่ง ตกได้แก่โจทก์ 2 ใน 3 ส่วน อีก 1 ใน 3 แบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่โจทก์ทั้ง 4 และมารดา ล. จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยฎีกาว่า คำสั่งศาลจังหวัดภูเก็ตในคดีหมายเลขแดงที่ 41/2517 ที่สั่งว่า จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ใช้ยันกับบุคคลได้ทุกคนแม้โจทก์ในคดีนี้ก็ไม่ใช่บุคคลภายนอกที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 เว้นไว้แต่โจทก์ทั้งสี่จะได้ที่ดินและเรือนพิพาทมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง เท่านั้น และหากศาลฟังว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิดีกว่าจำเลย ก็ต้องมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 41/2517 ของศาลจังหวัดภูเก็ตเสียด้วย พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า “ฯลฯ (2) คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า” ตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้เห็นได้ว่า แม้จำเลยที่ 1 จะได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลแล้วก็ไม่ตัดสิทธิบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีก่อนนั้นเช่นโจทก์ที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่า และโจทก์ก็พิสูจน์ได้ว่าโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่ดินและเรือนพิพาทตลอดมามิได้ทอดทิ้ง หาใช่จำเลยที่ 1 ครอบครองปรปักษ์ทรัพย์พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ดังที่ต่อสู้ไม่ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ดังที่จำเลยยกขึ้นอ้าง และไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 41/2517 คำสั่งนั้นยังมีอยู่แต่ใช้ยันโจทก์ทั้งสี่ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าไม่ได้เท่านั้น”
พิพากษายืน