แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าการขายฝากที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะ เมื่อฟังว่าการขายฝากที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะ ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้เพิกถอนเสียมิใช่บังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท คืนให้โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าการขายฝากที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ โจทก์ผู้เดียวมีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องและให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตาม คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทคืนจำเลย ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทพร้อมชดใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ ๕๐๐ บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทพร้อมกับให้โจทก์รับเงินจำนวน ๓๔,๕๐๐ บาท คืนไปจากจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่การขายฝากที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๙๗๑ ตามฟ้องคืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๒๐๐ บาท คำขออื่นของโจทก์และฟ้องแย้งให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันสมควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๙๗๑ ตำบลแวง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมทั้งมอบหนังสือรับรองการ ทำประโยชน์ดังกล่าวแก่จำเลย และให้จำเลยชำระเงิน ๓๔,๕๐๐ บาท แก่โจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ ๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะออกไปจากที่ดิน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเดิมมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๓๕ โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทให้จำเลยในราคา ๒๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดไถ่คืน ๑ ปี นับแต่วันทำสัญญา หลังจากนั้นโจทก์มิได้ไถ่ที่ดินพิพาทคืนภายในกำหนด แต่ยังคงอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทต่อมา เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๙ โจทก์นำเงิน ๓๔,๕๐๐ บาท ไปชำระให้จำเลย จำเลยับไว้และมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทพร้อมทั้ง ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์และน่าเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลย ๒๐,๐๐๐ บาท โดยมอบที่ดินพิพาทให้จำเลยเป็นประกัน มิใช่เรื่องขายฝากที่ดินพิพาทตามข้อต่อสู้ของจำเลย ดังนั้น นิติกรรมการ ขายฝากที่ดินพิพาทจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงิน และตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕ วรรคหนึ่ง และเมื่อการขายฝากที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะแล้วก็ชอบที่จะพิพากษาให้เพิกถอนเสีย มิใช่บังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ดังคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๙๗๑ ตำบลแวง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ดระหว่างโจทก์กับจำเลยเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๓๕ คำขออื่น ของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแล้ว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนด ค่าทนายความให้รวม ๔,๐๐๐ บาท .