คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษายกฟ้องนั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยเป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาที่โจทก์เคยเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่าจำเลยร่วมกับ ล. ฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ซึ่งในคดีส่วนอาญานั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยรับเงินจาก ล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้อย่างไรก็ตาม นอกจากโจทก์จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้แล้ว ยังฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอยู่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2529 นางลัดดาหรือประดิษฐ์ อาชญาทา หลอกลวงโจทก์ว่าต้องการขายทองรูปพรรณหนัก 35 บาท ให้โจทก์ ทองดังกล่าวจำนำไว้ที่ร้านของจำเลยหากโจทก์ต้องการซื้อก็ให้นำเงินจำนวน 150,000 บาท ไปไถ่ถอนมาจากจำเลย ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2529 นางลัดดาหรือประดิษฐ์พาโจทก์ไปที่ร้านจำเลย โจทก์มอบเงิน 150,000 บาท ให้นางลัดดาหรือประดิษฐ์นำไปให้จำเลยเพื่อไถ่ถอน จำเลยรับเงินจากโจทก์แล้วกลับไม่ยอมให้ทองแก่นางลัดดาหรือประดิษฐ์ โดยจำเลยอ้างว่านางลัดดาหรือประดิษฐ์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่ และจำเลยก็ทราบว่าเงินจำนวน 150,000 บาท นั้นเป็นเงินของโจทก์ซึ่งนางลัดดาหรือประดิษฐ์ได้มาโดยไม่สุจริตแต่จำเลยกลับยึดเงินไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า นางลัดดาหรือประดิษฐ์นำเงินจำนวน 150,000บาท ไปชำระหนี้ค่าซื้อทองจากจำเลยที่ยังค้างชำระ จำเลยจึงรับชำระหนี้โดยสุจริต และเชื่อว่าเป็นเงินของนางลัดดาหรือประดิษฐ์ที่ได้มาโดยสุจริต โจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐมกล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกงพนักงานอัยการ จังหวัดนครปฐมสั่งฟ้องจำเลย และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2116/2530 คดีถึงที่สุดแล้วขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงรับว่าได้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2116/2530 ของศาลชั้นต้นจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยนำสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2116/2530 ดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การพิพากษาคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา ซึ่งในคดีอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยรับเงิน 150,000 บาท ของโจทก์จากนางลัดดาเป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อทองคำจากจำเลยไป จึงเป็นการรับชำระหนี้อันมีมูลจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลย และไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ เพราะโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยาน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226แต่อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาก่อน คดีนี้เป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาที่โจทก์เคยเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่าจำเลยร่วมกับนางลัดดาหรือประดิษฐ์ฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ซึ่งในคดีส่วนอาญานั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยรับเงินจำนวน 150,000 บาท จากนางลัดดาหรือประดิษฐ์เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินจำนวน 150,000 บาท ไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้ตามฟ้องของโจทก์ อย่างไรก็ตามนอกจากโจทก์จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้แล้วฟ้องโจทก์ยังระบุด้วยว่า จำเลยทราบอยู่แล้วว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์ และนางลัดดาหรือประดิษฐ์ได้มาโดยการหลอกลวงโจทก์และได้มาโดยไม่สุจริต แต่จำเลยกลับยึดเงินจำนวนดังกล่าวไว้จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างว่าเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอยู่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษามานั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ในประเด็นดังกล่าวข้างต้น

Share