คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มารดาจัดการทรัพย์สินของบุตรในฐานะผู้แทนบุตรตลอดมาจนมารดาตายบุตรย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์สินอันเป็นส่วนได้ของตนจากผู้จัดการทรัพย์มรดกของมารดาได้ คดีไม่มีขาดอายุความ
เมื่อได้ฟ้องคดีต่อศาลแล้ว คดีคงดำเนินอยู่ในศาลตลอดมา อายุความย่อมสะดุดหยุดอยู่ จนกว่าจะได้วินิจฉัยถึงที่สุด หรือเสร็จไปประการอื่น
การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้คำขอท้ายฟ้อง และได้เสียค่าธรรมเนียมใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งยอมให้รับคดีไว้พิจารณา ย่อมถือว่า เป็นคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาล
ฟ้องเรียกเงินตามรายการต่างๆ แต่คำขอท้ายฟ้องขอเรียกเป็นจำนวนน้อยกว่ารายการที่ระบุไว้ แต่แล้วศาลสั่งให้เรียกค่าขึ้นศาลตามรายการที่ระบุไว้ ดังนี้ไม่ถือว่าเป็นการปลดหนี้
เมื่อจำเลยไม่ต้องการเสียดอกเบี้ยในระหว่างการพิจารณาคดี จำเลยก็ต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่คิดว่าจะต้องชำระแก่โจทก์ มิฉะนั้นจะขอยกเว้นไม่เสียดอกเบี้ยไม่ได้

ย่อยาว

ได้ความว่า โจทก์เป็นโอรสกรมพระจันทบุรีฯ และหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมาน หม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานเป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูโอรสธิดาของกรมพระจันทบุรีฯ และเป็นผู้จัดการทรัพย์สินกรมพระจันทบุรีฯ กับเป็นผู้จัดการผลประโยชน์แทนด้วย เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2474 กรมพระจันทบุรีฯ ทรงทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่หม่อมเจ้าหญิงอับษรสมาน และให้โอรสธิดาอยู่ในความปกครองของหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานด้วย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2474 สมเด็จพระปกเกล้าฯ มีพระบรมราชโองการสั่งให้พินัยกรรมของกรมพระจันทบุรีฯ เป็นพินัยกรรมพิเศษ เมื่อกรมพระจันทบุรีฯสิ้นพระชนม์แล้ว หม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของกรมพระจันทบุรีฯ กับทรัพย์สินซึ่งกรมพระจันทบุรีฯและหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานครอบครองแทนโอรสธิดา รวมทั้งทรัพย์สินของโจทก์ด้วย และเป็นตัวแทนมีหน้าที่รักษาและจัดหาผลประโยชน์แทนโจทก์ต่อมาอย่างแต่ก่อน หม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานสิ้นชีพตักษัยเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2482 จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมาน ทรัพย์สินของโจทก์ตกอยู่ในกองมรดกหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานหลายประเภทรวมทั้งผลประโยชน์ในทรัพย์เหล่านั้น โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินอันเป็นส่วนได้ของโจทก์จำนวน 455,228 บาท 93 สตางค์ จำเลยให้การแบ่งรับและต่อสู้คดีหลายประการ และว่าหากโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้กรมพระจันทบุรีฯและหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานอยู่และหนี้นั้นยังจะเรียกร้องได้ตามกฎหมาย ก็หักกลบลบกับเงินที่โจทก์เป็นหนี้กรมพระจันทบุรีฯและหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานแล้ว จำเลยต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความแล้ว

ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์มีส่วนได้รับเงินในกองมรดกหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมาน แต่เมื่อหักกับเงินที่โจทก์ได้รับไปจากกรมพระจันทบุรีฯ และหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานไปแล้ว คงเหลือจำนวนเงิน 43,366 บาท 48 สตางค์ จึงพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกใช้เงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 89,171 บาท 87 สตางค์ นอกนั้นยืนตาม

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกา เห็นว่า ฟ้องของโจทก์กล่าวข้อความเป็นที่เข้าใจได้ชัดพอแล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ และเห็นว่า หม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานได้ทรงจัดการทรัพย์สินแทนโอรสธิดาแต่เดิมตลอดมา คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความในเรื่องกรรมสิทธิ์ และสิทธิแห่งทรัพย์สินเพราะหม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานเป็นผู้แทนของโจทก์

ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความมรดก เพราะโจทก์กลับมาเรียกร้องจำนวนเงินที่เกินกว่า 200,000 บาท เมื่อศาลฎีกาตัดสินแล้ว และพ้นกำหนด 1 ปี ภายหลังที่หม่อมเจ้าหญิงอับษรสมานสิ้นชีพตักษัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีของโจทก์ยังดำเนินอยู่ในศาลตลอดมาอายุความย่อมสะดุดหยุดอยู่ จนกว่าจะได้วินิจฉัยถึงที่สุดหรือเสร็จไปประการอื่น ฉะนั้นการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้คำขอท้ายฟ้องและได้เสียค่าธรรมเนียมใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งยอมให้รับคดีไว้พิจารณาอยู่ในศาล อีกทั้งโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ของโจทก์ มิใช่ฟ้องเรียกมรดกคดีไม่ขาดอายุความมรดก

ข้อที่จำเลยคัดค้านว่า โจทก์สละสิทธิเรียกร้องจำนวนที่เกิน 200,000 บาท ไว้ในฟ้อง เป็นการปลดหนี้ส่วนนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องส่วนที่เกิน 200,000 บาทนั้น เห็นว่าการกระทำของโจทก์ไม่ต้องด้วยลักษณะของการระงับหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพราะมิได้แสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง ที่จริงเป็นการแสดงความประสงค์ต่อจำนวนเงินที่โจทก์คาดว่าควรจะได้รับ เพื่อไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลมาก เพราะมีหนี้สินเกี่ยวพันหักกลบลบกันหลายราย ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลาที่คดีไปสู่ศาลอุทธรณ์ฎีกาเป็นเวลา1 ปี 5 เดือน 15 วัน จำเลยฎีกาว่าไม่ควรรับผิด เพราะเป็นความผิดของโจทก์ที่เสียค่าธรรมเนียมไม่ถูกต้อง ทำให้เรื่องล่าช้าโดยใช่เหตุศาลฎีกาเห็นว่า การช้าหรือเร็วเป็นเรื่องของทางความ เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินให้แก่โจทก์ถ้าไม่ต้องการเสียดอกเบี้ยก็ควรวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่คิดว่าจะต้องชำระแก่โจทก์ มิฉะนั้นจะขอยกเว้นดอกเบี้ยไม่ได้

พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงิน 31,364.61 บาทแก่โจทก์ และให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลสำหรับจำนวนเงินที่โจทก์ชนะ นอกนั้นยืนตาม

Share