แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามฟ้องโจทก์ปรากฏว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกตึกให้คนเช่า โดยตกลงว่าจะยกกรรมสิทธิ์ในตึกแถวที่สร้างขึ้นให้เป็นของโจทก์ทันทีเมื่อสร้างเสร็จ โจทก์ทำสัญญายอมให้จำเลยจัดหาคนเช่าโดยโจทก์คิดค่าเช่าเป็นรายเดือนจากจำเลย โจทก์จึงเป็นทั้งเจ้าของที่ดินและตึกพิพาท การที่โจทก์ทำสัญญายินยอมให้จำเลยเอาตึกพิพาทให้ผู้อื่นเช่าฐานะของผู้เช่าจึงเป็นผู้เช่าช่วงตึกพิพาทโดยชอบ โจทก์จึงไม่อาจขับไล่ผู้เช่าในฐานะบริวารของจำเลยได้ (อ้างฎีกาที่ 1984/2494)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกตึกแถวโดยตกลงกันว่าเมื่อจำเลยสร้างเสร็จแล้วจำเลยยอมยกกรรมสิทธิ์ในตึกแถวที่สร้างขึ้นให้เป็นของโจทก์ทันที โจทก์ยอมให้จำเลยจัดหาบุคคลมาเช่าตึกแถวดังกล่าว โดยโจทก์จะเรียกค่าเช่าจากจำเลยเป็นรายเดือนเป็นเวลา 10 ปี บัดนี้ครบ 10 ปีแล้ว จำเลยเพิกเฉยไม่จัดการส่งมอบตึกแถวคืนให้โจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินและผลประโยชน์ในสิ่งก่อสร้างบนที่ดินนั้นต่อไป
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า บริวารของจำเลยไม่ยอมส่งมอบตึกแถวคืนให้โจทก์
บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่ยื่นคำร้องว่าตนไม่ใช่บริวารของจำเลย ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ขังบริวารทั้งหมดไว้คนละ 7 วัน เว้นแต่จะมีประกันตัวไป
ผู้ร้องที่โจทก์อ้างว่าเป็นบริวารจำเลยรวม 25 คนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้อง 17 คนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องโจทก์ปรากฏชัดเจนว่าตึกพิพาทรายนี้ได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้วในทันทีที่จำเลยก่อสร้างเสร็จ โจทก์จึงเป็นทั้งเจ้าของที่ดินและตึกพิพาท การที่โจทก์ทำสัญญายินยอมให้จำเลยเอาตึกนั้นให้ผู้อื่นเช่า ฐานะของผู้เช่าจึงเป็นผู้เช่าช่วงตึกพิพาทโดยชอบ ยิ่งกว่านั้นผู้ร้องส่วนมากยังได้อ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินอีกด้วย ส่วนนางสมจิตร ผู้ร้องก็อ้างว่าเข้าอยู่โดยความยินยอมของโจทก์ไม่เกี่ยวกับจำเลยอย่างใด ข้ออ้างของผู้ร้องเหล่านี้ถ้าหากไต่สวนได้ความจริงก็ไม่อาจขับไล่ผู้ร้องในฐานะบริวารของจำเลยได้ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1984/2494
พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้ง 17 คนนี้ แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี