คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7807/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกให้โจทก์นำบัญชีที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีและใบเสร็จการชำระภาษีเงินได้มาให้เจ้าพนักงานประเมินตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2536จนถึงวันที่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ลงนามรับทราบผลการตรวจสอบเป็นเวลานานเกือบ 2 ปี เป็น การให้โอกาสแก่โจทก์ตามกำหนดเวลาอันสมควรแล้วแต่โจทก์ส่งเอกสารมาเพียงบางส่วน มิได้สนใจค้นหา เอกสารดังกล่าวอย่างแท้จริง จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่นำบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 5ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตามมาตรา 71(1)แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อเจ้าพนักงานประเมินใช้อำนาจประเมินตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากรโดยชอบแล้วแม้ภายหลังโจทก์ยื่นอุทธรณ์และส่งเอกสารทางการบัญชีหลายเล่มมาประกอบการพิจารณาอุทธรณ์ก็ตาม ก็หาทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่ชอบแล้วเสียไปไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มของเจ้าพนักงานประเมินที่ 1016/2/100705ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 382/2539/1 ลงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2538และให้จำเลยที่ 1 คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ตามกำไรสุทธิที่เป็นจริง กับให้งดหรือลดเงินเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้วและเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นผลบังคับตามกฎหมายไม่อาจงดหรือลดได้แต่อย่างใดขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าวันที่ 10 สิงหาคม 2536 เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกตามประมวลรัษฎากรโดยอ้างว่า มีเหตุอันควรเชื่อว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีและยื่นประมาณการกำไรสุทธิสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2533 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2533 ไม่ถูกต้องให้โจทก์นำบัญชีที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีไปให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบ ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2536 โจทก์มอบอำนาจให้นางสาวจิตรา อ๋องสมหวัง ไปให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินว่า ไม่สามารถนำบัญชีและพยานหลักฐานต่าง ๆ มามอบให้ได้เนื่องจากเคลื่อนย้ายการเก็บรักษา ต่อมาวันที่10 กรกฎาคม 2538 เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าเมื่อโจทก์ไม่สามารถส่งหลักฐานบัญชีเอกสารประกอบการลงบัญชีต่อเจ้าพนักงานประเมินได้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากรประเมินภาษีโจทก์ในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆเป็นจำนวนเงิน 24,778,830.90 บาท เป็นภาษี1,238,941.55 บาท เงินเพิ่ม 929,206.16 บาท รวมเป็นเงิน 2,168,147 บาท ให้โจทก์นำไปชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือ โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ว่าเจ้าพนักงานประเมินจะทำการประเมินโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 แห่งประมวลรัษฎากร โดยอ้างว่าโจทก์ไม่นำบัญชีเอกสารมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบได้หรือไม่โจทก์มีนางจิตรา อ๋องสมหวัง ผู้จัดการฝ่ายบัญชีของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่าพยานได้ให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินว่า เอกสารที่ยังไม่ได้ส่งนั้นยังหาไม่พบเนื่องจากมีการก่อสร้างอาคารและย้ายที่เก็บเอกสาร ทั้งมีการเปลี่ยนพนักงานของโจทก์ที่ดูแลเอกสาร ขอให้ขยายเวลาการตรวจสอบเมื่อโจทก์พบเอกสารได้แจ้งนางมุกดาและนำเอกสารไปส่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ต่อมาวันที่ 26 เมษายน 2538เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบส่วนจำเลยมีนางมุกดา ไตรสารศรี ผู้ตรวจสอบภาษีและเอกสารประกอบการลงบัญชีของโจทก์เบิกความว่า โจทก์มอบอำนาจให้นางจิตรามาชี้แจงพร้อมส่งแบบภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.3 สำเนา ภ.ง.ด.53 แบบยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำเนาแบบ ภ.ค.40 แบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการค้า แต่ไม่ได้ส่งสมุดบัญชีและเอกสารประกอบบัญชีเมื่อโจทก์ไม่ได้ส่งเอกสารการลงบัญชีจึงประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากรเห็นว่า พยานโจทก์ที่นำสืบไม่ปรากฏว่าโจทก์พบเอกสารและแจ้งให้นางมุกดาทราบเมื่อใด แต่เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกให้โจทก์นำบัญชีที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีและใบเสร็จการชำระภาษีเงินได้มาให้เจ้าพนักงานประเมินตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2536 จนถึงวันที่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ลงนามรับทราบผลการตรวจสอบเป็นเวลานานเกือบ 2 ปี เป็นการให้โอกาสแก่โจทก์ตามกำหนดเวลาอันสมควรแล้ว แต่โจทก์ส่งเอกสารมาเพียงบางส่วน มิได้สนใจค้นหาเอกสารดังกล่าวอย่างแท้จริง จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่นำบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากรแม้การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และยื่นเอกสารมาเพิ่มเติมก็เป็นการยื่นภายหลังที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินโดยชอบแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์เป็นข้อกฎหมายว่า เมื่อโจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และโจทก์ได้ส่งมอบเอกสารในชั้นอุทธรณ์แล้วคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์น่าจะวินิจฉัยให้โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากรและเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินนั้น เห็นว่าเมื่อเจ้าพนักงานประเมินใช้อำนาจประเมินตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากรโดยชอบแล้วแม้ภายหลังโจทก์ยื่นอุทธรณ์และส่งเอกสารทางการบัญชีหลายเล่มมาประกอบการพิจารณาอุทธรณ์ก็ตาม ก็หาทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่ชอบแล้วเสียไปไม่
พิพากษายืน

Share