แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เหตุหย่าในข้อจงใจละทิ้งร้างเกินกว่า 1 ปีนั้น ตราบใดที่ยังทิ้งร้างกันอยู่ ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขอหย่าได้ไม่ขาดอายุความ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทยเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และที่ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ในฟ้องไม่กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อใดทิ้งร้างไปเมื่อใด โดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าเลย โจทก์ฟ้องคดีหลังกล่าวหาว่าจำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน และว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุไม่เป็นฟ้องซ้ำ
กล่าวฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่ากระทำการอย่างใดอันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องเช่นนี้ไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างเช่นว่านี้
โจทก์ฟ้องขอหย่าอ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน แต่ปรากฏว่า เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์จะอ้างเหตุที่ว่านั้นมาเป็นข้อฟ้องหย่าหาได้ไม่ เพราะผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลย โดยอ้างว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันหลายประการ และจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2496 ตลอดมาถึงวันฟ้องได้ 2 ปี 4 เดือนเศษ โจทก์ได้ฟ้องขอหย่ามาครั้งหนึ่ง แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแดงที่ 1535/2498และว่าจำเลยไม่เคยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากับโจทก์จำเลยไม่ได้จงใจละทิ้งร้าง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์อาศัยเหตุไหนเป็นเหตุหย่า และเหตุหย่าที่โจทก์อ้างปรากฏว่าโจทก์ทราบเรื่องเกิน 3 เดือนแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลแพ่งฟังว่า จำเลยละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปี และการทิ้งร้างไปนี้เป็นความผิดของจำเลยเป็นส่วนใหญ่ การทิ้งร้างได้เกิดต่อเนื่องกันมา คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากับโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ในปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำ ได้ความว่า คดีก่อนศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยเหตุที่ว่าฟ้องโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะไม่กล่าวว่าเหตุเกิดเมื่อใด ทิ้งร้างไปเมื่อใด หาได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อโต้เถียงเรื่องการหย่าอย่างใดไม่ แต่ฟ้องของโจทก์คดีหลังนี้กล่าวหาว่า จำเลยร้องเรียนต่อกรมมหาดไทย และร้องเรียนต่อสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน และจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์เป็นเวลากว่า 1 ปี เป็นคนละประเด็น คนละเหตุ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ในปัญหาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการกล่าวว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไป ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่า กระทำการอย่างใดอันได้ชื่อว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมดังจำเลยอ้าง
ในปัญหาเรื่องอายุความซึ่งจำเลยฎีกาว่า เหตุหย่าเรื่องจงใจละทิ้งร้างนั้นโจทก์ทราบดี และมิได้ฟ้องร้องในกำหนด 3 เดือน คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าเรื่องจงใจละทิ้งร้างนั้น ตราบใดที่ยังทิ้งร้างกันอยู่ ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขอหย่าได้ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
คดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เองก็ไม่ต้องการจะให้จำเลยมาอยู่ร่วมกับโจทก์ เมื่อเช่นนี้แล้ว โจทก์จะกลับมาฟ้องขอหย่าโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ย่อมไม่ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอหย่าจำเลยตามข้ออ้างที่กล่าวนี้ได้
ส่วนข้ออ้างที่ว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันหลายประการนั้น เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกัน ผลของสัญญาประนีประนอมนั้น ย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้น ระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ไม่มีเหตุที่จะขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยตามที่อ้างมาในฟ้อง
พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ โดยให้ยกฟ้องโจทก์