แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า มีกรรมสิทธิในที่ดินร่วมกับจำเลย จำเลยสู้คดีว่าจำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อที่รายนี้แล้วลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิด้วยเพื่อลวงมิให้ญาติอื่นมาแย่งมรดก ดังนี้ในเบื้องต้นต้องสันนิษฐานว่าโจทก์มีกรรมสิทธิอยู่ด้วยส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนี้
โจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินบ้านเรือนมีคำขอให้ใช้ราคามาด้วยเป็นจำนวนค่อนข้างสูงจำเลยก็ขอให้ใช้ราคาแทนแบ่ง เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลอาจพิพากษาให้แบ่งโดยวิธีให้จำเลยใช้เงินราคาก็ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินโฉนดที่ ๑๒๒๖ ตำบลสามเสนใน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร และได้ร่วมกันก่อสร้างบ้านขึ้นบนที่ดิน คือบ้านเลขทะเบียนที่ ๔๘ ย. ๒๕ โดยโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของกึ่งหนึ่งขอให้ศาลบังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดที่ ๑๒๒๖ ให้โจทก์ ๑ ส่วน ถ้าไม่อยู่ในสภาพจะแบ่งได้ ก็ให้จำเลยใช้เงินเป็นค่าที่ดิน ๒๕,๙๐๐ บาท ค่าเรือน ๑๕,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า ที่ดินตามฟ้องจำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อ ที่มีโจทก์ในโฉนดก็เพื่อเจตนาลวงและเพื่ออำพรางป้องกันญาติของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อที่พิพาท และเรือนพิพาทก็เป็นของจำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ว่าฟังโจทก์กับจำเลยได้ออกเงินซื้อที่พิพาท และเห็นว่าแม้จะไม่ฟังดังนั้น ตามรูปความก็เห็นได้ว่าจำเลยที่ ๒ รักใคร่เอ็นดูโจทก์ได้อุปการะเลี้ยงดูมาแต่เล็กจำเลยจึงออกเงินให้โจทก์มีส่วนร่วมด้วย และใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิร่วมในโฉนด โจทก์จึงมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ๑ ใน ๓ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า โจทก์มีกรรมสิทธิในที่ดินโฉนดที่ ๑๒๒๖ อยู่ ๑ ใน ๓
จำเลยฎีกาว่า ไม่ควรเชื่อว่าโจทก์ออกเงินซื้อที่พิพาท ควรฟังว่าจำเลยใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดก็เพื่อหลอกลวงญาติอื่น
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่มีชื่อโจทก์จำเลยถือกรรมสิทธิร่วมกัน ในเบื้องต้นจึงต้องสันนิษฐานว่า โจทก์มีกรรมสิทธิอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง และเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนี้
จำเลยต่อสู้คดีว่าจำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อฝ่ายเดียว และลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิด้วยเพื่อลวงญาติอื่นนั้น ข้อนำสืบของจำเลยก็ฟังไม่ได้ พยานโจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้ออกเงินซื้อด้วยแต่อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่ออกเงินส่วนตัวร่วมด้วย แต่เมื่อจำเลยพอใจให้โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิในที่ดินด้วยแล้ว โจทก์ก็ย่อมเป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยด้วย ๑ ใน ๓ และเห็นว่าที่ดินไม่อยู่ในสภาพจะแบ่งได้ จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ราคาที่ดินเป็นเงิน ๒๕,๙๐๐ บาทแก่โจทก์