คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7798/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เนื้อหาฎีกาของผู้ร้องในส่วนที่เป็นสาระสำคัญล้วนคัดลอกข้อความในอุทธรณ์มาทั้งสิ้น คงมีส่วนเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อยในรายละเอียดซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยในปัญหาเดียวกันไว้แล้ว ฎีกาของผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยชัดแจ้งว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร ควรวินิจฉัยอย่างไร และด้วยเหตุผลใด จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ที่ใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขอให้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางเจือ ผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้มีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก (มีพินัยกรรม) ของนางเจือ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนางเจือ ผู้ตาย โดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ยกคำร้องขอของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายธงชัย ทนายความผู้จัดทำพินัยกรรม นายชลอ และนายณรงค์ศักดิ์ พยานในพินัยกรรมเบิกความยืนยันว่าในวันทำพินัยกรรม นางเจือมาที่สำนักงานของนายธงชัยเพียงผู้เดียวและถือโฉนดที่ดินมาด้วย ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่านางเจือได้ไปทำพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2541 ที่สำนักงานของนายธงชัยจริงแต่เพียงผู้เดียว โดยนายสนั่นไม่ได้รับรู้ด้วยแต่อย่างใด ส่วนลายพิมพ์นิ้วมือของนางเจือในพินัยกรรมที่เป็นข้างขวาก็มิใช่ข้อพิรุธ เนื่องจากโดยปกติบุคคลทั่วไปโดยส่วนใหญ่จะถนัดข้างขวาอยู่แล้ว และสำหรับการทำนิติกรรมกับสำนักงานที่ดินกลับปรากฏว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายของนางเจือก็มิใช่เรื่องผิดปกติ เนื่องจากอาจจะเป็นระเบียบของสำนักงานที่ดินที่จะมีตรายางประจำไว้สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเขียนได้จะต้องใช้ลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายเท่านั้น เมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่ว่าทรัพย์มรดกที่เป็นที่ดินในส่วนของนางเจือนั้นเดิมแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7422 ซึ่งเป็นของนายฟื้น สามีของนางเจือ ที่เสียชีวิตไปก่อนแล้ว จึงถือว่านางเจือได้รับมรดกมาจากนายฟื้นและทายาททุกคนซึ่งรวมถึงผู้ร้องและนายสนั่นต่างได้รับมรดกเป็นที่ดินของนายฟื้นทุกคนแล้ว ส่วนนางเจือมีเพียงที่ดินโฉนดเลขที่ 264626 ที่มีชื่อร่วมกับนายสนั่นเท่านั้นและข้อเท็จจริงยังปรากฏด้วยว่านายสนั่นเป็นบุตรชายคนเล็กสุดของนางเจือและอยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับนางเจือทั้งยังเป็นผู้ดูแลนางเจือมาตลอดจนกระทั่งนางเจือถึงแก่ความตาย จึงน่าเชื่อว่านางเจือน่าจะยกที่ดินให้แก่นายสนั่นเพียงผู้เดียว นายสนั่นจึงเป็นทายาทตามพินัยกรรมทรัพย์มรดกของนางเจือแต่เมื่อภายหลังนายสนั่นถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสนั่นจึงตกได้แก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและบุตรของนายสนั่นกับผู้คัดค้านทั้งสองคนจึงเห็นสมควรตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนางเจือ ส่วนผู้ร้องมิใช่ทายาทตามพินัยกรรมผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องจัดการมรดก จึงมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำเบิกความของนายธงชัย นายชลอ และนายณรงค์ศักดิ์มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่านางเจือทำพินัยกรรมด้วยตนเองจริง พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา เห็นว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ขณะทำพินัยกรรม นางเจือมีอายุ 84 ปี อยู่ในช่วงชราภาพ ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่สามารถไปไหนมาไหนแต่เพียงลำพัง จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางเจือจะเดินทางไปที่สำนักงานของนายธงชัยแต่เพียงลำพัง คำเบิกความของนายธงชัย นายชลอ และนายณรงค์ศักดิ์มีข้อพิรุธขัดแย้งกันเอง จึงรับฟังไม่ได้ว่านางเจือได้ทำพินัยกรรมจริงนั้น เนื้อหาฎีกาของผู้ร้องดังกล่าวในส่วนที่เป็นสาระสำคัญล้วนคัดลอกข้อความในอุทธรณ์มาทั้งสิ้น คงมีส่วนเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อยในรายละเอียดซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยในปัญหาเดียวกันไว้แล้ว ฎีกาของผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยชัดแจ้งว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร ควรวินิจฉัยอย่างไร และด้วยเหตุผลใด จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ที่ใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share