คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7792/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงจ้องยิงผู้เสียหายแม้เพียงนัดเดียวจำเลยย่อมเล็งเห็นผลหรือคาดหมายได้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ หากถูกอวัยวะสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย แม้จะได้ความต่อมาว่า จำเลยไม่ยิงผู้เสียหายทั้ง ๆ ที่อาวุธปืนของจำเลยยังมีกระสุนปืนอีก 5 นัดก็ตาม แต่เหตุที่จำเลยไม่ยิงผู้เสียหายซ้ำก็เพราะผู้เสียหายร้องห้ามว่าอย่ายิง ประกอบกับระหว่างนั้นมีคนเดินผ่านมา จำเลยจึงยับยั้งไม่ยิงผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวจึงไม่เป็นเหตุผลที่แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายคงมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแต่อย่างใด และเมื่อจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายแล้ว การกระทำอันเดียวกันนี้จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอีกบทหนึ่ง คงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 297, 91, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิวรรคสอง เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปีฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยมิได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ในชั้นสอบสวน และทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมจำคุก 10 ปี 16 เดือนข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 2 ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยมิได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือนจำเลยนำสืบข้อเท็จจริงบางประการเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานทำร้ายร่างกายจำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือนรวมจำคุก 1 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันฟังได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยต่างพักอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุจำเลยพาเด็กหญิงกันทิมา หลานจำเลยไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า ผู้เสียหายข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงกันทิมา ต่อมาเวลาประมาณ 23 นาฬิกา จำเลยใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้เสียหาย1 นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ด้านหลังเหนือสะโพกขวาและไปฝังที่บริเวณสะโพกด้านซ้าย ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.5 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ผู้เสียหายกลับจากดูภาพยนตร์เปิดประตูเข้าไปในบ้านเกิดเหตุเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นดื่ม จำเลยยืนอยู่ที่ชั้นบนบ้านห่างประมาณ 4 ถึง 5 เมตร ถืออาวุธปืนสั้นจ้องมาที่ผู้เสียหายและถามผู้เสียหายว่าทำอะไรกับหลานจำเลย ผู้เสียหายรับว่าได้เสียกับเด็กหญิงกันทิมาหลายครั้งแล้ว ระหว่างนั้นผู้เสียหายยกมือสองข้างขึ้น เมื่อผู้เสียหายยอมรับผิด จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปที่บ้านนายประสงค์ ผู้เสียหายยอมไป แต่ยังไม่ทันจะไปจำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัดกระสุนปืนถูกบริเวณหลังด้านขวาไปฝังอยู่ที่สะโพกด้านซ้าย ขณะนั้นผู้เสียหายยืนหันข้างให้จำเลยโดยไม่มีอาวุธใด ๆ ติดตัว และไม่ได้ขยับตัวเพื่อจะทำร้ายจำเลย เมื่อผู้เสียหายถูกยิงก็วิ่งไปล้มที่หน้าประตูบ้าน จำเลยวิ่งตามไปทันถืออาวุธปืนจ้องมาที่ผู้เสียหายผู้เสียหายบอกว่าอย่ายิงจำเลยจึงไม่ยิงแต่บังคับให้ผู้เสียหายไปที่บ้านนายประสงค์เมื่อถึงบ้านนายประสงค์จำเลยส่งอาวุธปืนให้นายประสงค์และบอกให้นายประสงค์เฝ้าผู้เสียหายไว้แล้วจำเลยไปนำเจ้าพนักงานตำรวจมาจับผู้เสียหาย ดังนี้ เมื่อพิจารณาประกอบกับบาดแผลของผู้เสียหายตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ตามเอกสารหมาย จ.5 และภาพถ่ายบาดแผลของผู้เสียหายหมาย จ.4 ตลอดจนภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุหมาย จ.3 ซึ่งจำเลยนำชี้แสดงท่าที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายแล้ว แสดงให้เห็นว่าขณะถูกยิงผู้เสียหายยืนหันข้างให้จำเลยรอยกระสุนเข้าอยู่เหนือรอยกระสุนปืนที่ฝังใน แสดงว่าแนววิถีกระสุนขณะที่จำเลยยิงอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าผู้เสียหาย เอกสารและภาพถ่ายดังกล่าวสอดคล้องตรงกับคำเบิกความของผู้เสียหาย จึงเชื่อว่าผู้เสียหายเบิกความเป็นจริงที่จำเลยนำสืบอ้างว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยได้ยินเสียงงัดประตูบ้านตื่นขึ้นเห็นชายคนหนึ่งทางด้านหลังจึงตะโกนถามว่าใคร ชายดังกล่าวตอบว่ากูเองแล้ววิ่งขึ้นมาที่บันไดจะขึ้นชั้นบนพร้อมกับใช้มือกุมเอว จำเลยจึงใช้ปืนยิงขู่ไปที่ชายดังกล่าว 1 นัดกระสุนถูกบริเวณด้านหลัง จากนั้นจึงทราบว่าชายดังกล่าวเป็นผู้เสียหาย แต่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของจำเลยเอกสารหมาย จ.12 ว่า ขณะจำเลยนอนอยู่ชั้นบนของบ้านได้ยินเสียงสุนัขเห่าและเสียงกุกกักที่ประตูบ้านชั้นล่างจึงแง้มหน้าต่างดูเห็นผู้เสียหายกำลังเปิดประตูเข้ามาในบ้านมองหาสิ่งของอยู่ที่ตู้ชั้นล่าง จำเลยออกมาที่หน้าบันไดชั้นบนแล้วพูดต่อว่าผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงกันทิมาซึ่งกำลังเรียนอยู่เป็นการทำลายอนาคตเด็กให้ไปที่สถานีตำรวจ ผู้เสียหายไม่ยอมไปแล้วเดินขึ้นบันไดไปหาจำเลยพร้อมกับคลำชายเสื้อที่เอว จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายจะล้วงเอาอาวุธออกมาจากเอว จึงใช้อาวุธปืนยิงไปที่ผู้เสียหายซึ่งแตกต่างกับที่จำเลยเบิกความดังกล่าว ทั้งการที่จำเลยต่อสู้ในทำนองป้องกันตัว หากเป็นจริงกระสุนปืนที่จำเลยยิงก็น่าจะถูกทางด้านหน้าของผู้เสียหาย แต่กลับปรากฏว่ารอยบาดแผลของผู้เสียหายถูกกระสุนปืนทางด้านหลัง แสดงว่าผู้เสียหายมิได้ถูกยิงทางด้านหน้า ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยยิงผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายเดินขึ้นบันไดเข้าหาจำเลย อีกทั้งได้ความว่าผู้เสียหายไม่มีอาวุธแต่อย่างใด การที่จำเลยยิงผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ก่อให้เกิดภัยอันใดขึ้นที่จำเลยจำต้องป้องกันตัว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบคงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้เสียหาย 1 นัด ขณะผู้เสียหายยืนหันข้างให้จำเลยในระยะห่างกัน 4 ถึง 5 เมตร กระสุนปืนถูกที่บริเวณหลังและสะโพกของผู้เสียหายเนื่องจากจำเลยโกรธผู้เสียหายในเรื่องที่ผู้เสียหายข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงกันทิมาหลานจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงจ้องยิงผู้เสียหายแม้เพียงนัดเดียว จำเลยย่อมเล็งเห็นผลหรือคาดหมายได้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ หากถูกอวัยวะสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจำเลยลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย แม้จะได้ความต่อมาว่าจำเลยไม่ยิงผู้เสียหายทั้ง ๆ ที่อาวุธปืนของจำเลยยังมีกระสุนปืนอีก 5 นัด เมื่อจำเลยบังคับให้ผู้เสียหายไปให้นายประสงค์ควบคุมตัวแล้วจำเลยแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินการต่อไปก็ตาม เหตุที่จำเลยไม่ยิงผู้เสียหายซ้ำก็เพราะได้ความจากผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายร้องห้ามว่าอย่ายิง ประกอบกับระหว่างนั้นมีคนเดินผ่านมา จำเลยจึงยับยั้งไม่ยิงผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวจึงไม่เป็นเหตุผลที่แสดงว่า จำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายคงมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสเนื่องจากการกระทำของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 หาใช่ได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยนั้น เห็นว่า เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายแล้วการกระทำอันเดียวกันนี้จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอีกบทหนึ่งคงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเพียงบทเดียวเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุก 10 ปี คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน เมื่อรวมกับโทษความผิดฐานมีอาวุธปืนฯ และพาอาวุธปืนฯ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อีก 8 เดือน แล้วเป็นจำคุก 7 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share