คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7791/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมิได้มีการพรากผู้เสียหายที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร การพิพากษาคดีส่วนแพ่งของจำเลยต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ว่าจำเลยไม่ได้พรากผู้เสียหายที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 และที่ 4 และที่ 6 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำร้องของผู้ร้องที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279, 317, 91
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหากระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีส่วนข้อหาอื่นนอกนั้นให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์เสร็จ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพข้อหากระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน และกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีก่อนสืบพยาน ผู้ร้องทั้งหกยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งหกคนละ 200,000 บาท 100,000 บาท 100,000 บาท50,000 บาท 100,000 บาท และ 50,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวแล้วแต่กรณี นับแต่วันเกิดเหตุจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง วรรคสาม, 279 วรรคสอง, 317 วรรคสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยมีจิตบกพร่อง แต่ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างและบังคับตนเองได้ เห็นสมควรลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาตน จำคุก 5 ปี ฐานกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารจำคุก 3 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี รวมจำคุก 17 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 11 ปี 4 เดือนกับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 2 เป็นเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 แก่ผู้ร้องที่ 3 เป็นเงิน 30,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 4เป็นเงิน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 8มีนาคม 2553 แก่ผู้ร้องที่ 5 เป็นเงิน 30,000 บาท และแก่ผู้ร้องที่ 6 เป็นเงิน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26กุมภาพันธ์ 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง (ที่ถูกไม่ต้องระบุ วรรคสอง) วรรคสาม และ 279 วรรคสอง ฐานกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี จำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 4 ปี รวมจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบและบังคับตนเองได้ ทั้งได้กระทำอนาจารทางเพศต่อผู้เสียหายถึง 3 คน และยังใช้นิ้วแหย่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 อันเป็นการกระทำชำเราเพื่อสนองความใคร่ของจำเลยอีกด้วยนับว่าเป็นเรื่องน่าบัดสี ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน สร้างความเสื่อมเสียแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กตลอดจนบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ประกอบกับจำเลยเคยมีประวัติกระทำอนาจารทางเพศแก่เด็กในลักษณะเดียวกันในระหว่างที่จำเลยเป็นครูฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียน ก. โดยจำเลยอุ้มเด็กนักเรียนหญิงของโรงเรียนอนุบาลเดียวกันนี้ซึ่งอยู่ใกล้กันไปลูบคลำอวัยวะเพศอีกด้วย พฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นภัยร้ายแรงต่อเด็กและสตรีเพศโดยทั่วไปและเป็นที่หวั่นกลัวของผู้ปกครองที่ฝากลูกหลานไว้กับโรงเรียน โอกาสที่จำเลยจะกระทำความผิดเช่นนี้อีกจึงมีสูง แม้จำเลยจะมีอาการป่วยทางจิต แต่จำเลยก็อ้างว่าสามารถรักษาหายได้หากได้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง การต้องโทษจำคุกจึงไม่เป็นอุปสรรคแก่จำเลย กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมิได้มีการพรากผู้เสียหายที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ไปจากความปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร การพิพากษาคดีส่วนแพ่งของจำเลยต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่าจำเลยไม่ได้พรากผู้เสียหายที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำร้องของผู้ร้องที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share