แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าได้ซื้อที่ดินมีโฉนดมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนการโอนแล้ว และว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มาเมื่อ 5-6 ปีจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยครอบครองมากว่า 10 ปี แม้จำเลยจะมิได้ต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนมาโดยไม่สุจริตจำเลยก็นำสืบว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มาตั้งแต่เจ้าของเดิมกว่า 10 ปีแล้วได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทโดยซื้อมาจากนางจุ๊นได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โฉนดที่พิพาทกันเสร็จแล้วตั้งแต่พ.ศ. 2495 เมื่อ พ.ศ. 2484 บิดาจำเลยได้อาศัยในที่พิพาท เมื่อ 5-6 ปีมานี้บิดาจำเลยตายจำเลยมีเจตนาไม่สุจริตจะฉ้อโกงที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยไม่ยอมทำหลักฐานการเช่าหรืออาศัยให้ไว้แก่นางจุ๊นหรือโจทก์ และได้ยื่นคำร้องให้เจ้าพนักงานออกโฉนดทับที่โจทก์ จึงขอให้ขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยและบิดาได้ครอบครองที่พิพาทมา 15 ปี แล้วจำเลยและบิดาไม่ได้อาศัยนางจุ๊น
วันนัดพิจารณาโจทก์จำเลยรับกันว่าที่ ๆ มีโฉนดของโจทก์กับที่ ๆ จำเลยครอบครองเป็นที่แปลงเดียวกันและจำเลยยอมรับว่านางจุ๊นได้จดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อ พ.ศ. 2495 จริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่ได้โต้เถียงว่าโจทก์ได้รับโอนที่มาโดยไม่สุจริตไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัย ฉะนั้นจำเลยจึงไม่มีทางจะยกการครอบครองมาใช้ยันกับโจทก์ซึ่งซื้อที่พิพาทมาและจดทะเบียนสิทธิถูกต้องแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องโจทก์ปรากฏว่าโจทก์รู้แต่แรกแล้วว่าจำเลยได้เถียงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาตั้งแต่ยังเป็นของนางจุ๊นโจทก์ยังเสี่ยงรับซื้อที่พิพาทไว้ ศาลชั้นต้นจึงไม่ควรตัดพยานคู่ความเสีย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์