แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี นั้น ผู้กระทำผิดจะต้องเป็นผู้นำเอาพาหนะมาใช้ในการกระทำผิด โดยผู้กระทำผิดเป็นฝ่ายนำยานพาหนะมาใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชญากรรมชิงทรัพย์นั้นเอง หรือมิฉะนั้นก็ได้ใช้ยานพาหนะที่นำมานั้นพาทรัพย์ที่ตนชิงมาได้นั้นไป หรือได้ใช้ยานพาหนะนั้นพาตนให้พ้นการจับกุม การที่จำเลยชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์และพารถจักรยานยนต์นั้นไป ไม่เป็นการชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะพาทรัพย์นั้นไปตามความหมายของ มาตรา 340 ตรี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องใจความว่า จำเลยมีมีดพกปลายแหลมและเหล็กขูดชาฟท์เป็นอาวุธติดตัวร่วมกันลักเอารถจักรยานยนต์ ๑ คัน ของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุเทพยานยนต์ซึ่งอยู่ในความดูแลครอบครองรักษาของนายผวน โสวสด ไปโดยเจตนาทุจริต โดยจำเลยได้ร่วมกันใช้มีดพกปลายแหลมและเหล็กขูดชาฟท์ ทำร้ายร่างกายนายผวน หลายทีโดยเจตนาฆ่า และเพื่อให้เป็นความสะดวกในการลักเอาทรัพย์ พาเอาทรัพย์ และเพื่อยึดถือเอาทรัพย์ดังกล่าวไว้ ซึ่งจำเลยได้ร่วมกันลงมือฆ่านายผวนไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลสำเร็จ นายผวนไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย แต่เป็นเหตุให้นายผวนได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บสาหัส ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙, ๓๔๐ ตรี, ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๐, ๘๓, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒, ๑๔, ๑๕ และให้ริบมีดพกปลายแหลมของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรค ๕, ๒๙๗, ๘๓, ๙๐ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔ แต่เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรค ๕, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔ ข้อ ๑๔ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกจำเลยคนละ ๑๕ ปี ลดโทษตามมาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ ๗ ปี ๖ เดือน มีดของกลางริบ คำขออื่น ๆ ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๕
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จะลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่โจทก์ฎีกาได้จะต้องได้ความว่าจำเลยได้ชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม กล่าวคือ ผู้กระทำผิดจะต้องเป็นผู้นำเอายานพาหนะมาใช้ในการกระทำผิด โดยผู้กระทำผิดเป็นฝ่ายนำยานพาหนะมาใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชญกรรมชิงทรัพย์นั้นเอง หรือมิฉะนั้นก็ได้ใช้ยานพาหนะที่นำมานั้นพาทรัพย์ที่ตนชิงมาได้นั้นไป หรือได้ใช้ยานพาหนะนั้นพาตนให้พ้นการจับกุม หาใช่ว่าหากจำเลยชิงทรพัย์รถจักรยานยนต์และพารถจักรยานยนต์นั้นไปแล้วจะเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะนั้นไปตามความหมายที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ตรี ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ เพราะความที่ว่า “………หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๔๐ ตรี นั้น ต้องอ่านประกอบกับความที่ว่า “โดยใช้ยานพาหนะเพื่อ…………” ซึ่งเมื่ออ่านประกอบกันแล้วจะได้ความว่า ใช้ยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์นั้นไป หรือใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุม หาใช่ความแต่ละตอนเป็นอิสระไม่เกี่ยวข้องกันดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายมาและข้อเท็จจริงที่ได้ความ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ตรี ซึ่งได้เพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๕ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน