คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7760/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายองค์ประกอบความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 9 ไว้ชัดเจนว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ทั้งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมากิ่งอำเภอเกาะจันทร์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าวภายใน 30 วัน แต่จำเลยเพิกเฉย ต่อมากิ่งอำเภอเกาะจันทร์ได้มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่พักอาศัยภายใน 7 วัน จำเลยได้รับคำสั่งแล้วไม่ดำเนินการรื้อถอน ถือได้ว่าโจทก์บรรยายถึงการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนแล้วตามมาตรา 9 และมาตรา 108 แล้ว แม้คำฟ้องโจทก์ระบุวันกระทำผิดของจำเลยคือ ต้นปี 2514 อันเป็นวันก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 มีผลบังคับ ซึ่งต้องปรับบทตามมาตรา 108 ก็ตามและคำฟ้องของโจทก์ได้อ้างมาตรา 108 ทวิ มิได้อ้างมาตรา 108 มาก็ตาม กรณีถือได้ว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า
ธ. ช่างรังวัดที่ดินก่อนทำการรังวัดไปตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องและคำนวณตามหลักวิชาช่างแล้วก็ยืนยันว่าที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ และได้ความจาก ด. ปลัดกิ่งอำเภอเกาะจันทร์ว่า ในปี 2540 กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ต้องการสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอเกาะจันทร์ตรงบริเวณที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองได้ให้เงินจำนวน 20,000 บาท แก่จำเลยเป็นค่าวัชพืชที่จำเลยทำการเกษตรไว้และให้จำเลยออกจากที่ดิน ซึ่งจำเลยเบิกความรับว่าทางราชการได้ให้เงินไว้ตามจำนวนดังกล่าวจริง ได้มีการทำบันทึกในการรับเงินไว้ ข้อความในเอกสารดังกล่าวระบุว่า ที่ดินที่ทางราชการจะทำการก่อสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอเกาะจันทร์ซึ่งจำเลยครอบครองอยู่เป็นที่สาธารณประโยชน์ การที่จำเลยนำสืบบ่ายเบี่ยงว่าที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่นอกเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หนองหูช้างเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ จึงไม่ผิดตาม ป.อ. มาตรา 368 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปอีก และเมื่อการกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 108 ศาลจึงไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทเพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368, 91 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และสั่งให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินซึ่งเข้าไปยึดถือครอบครอง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 วรรคแรก ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1), 108 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน จำคุก 3 เดือน ฐานทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานที่สั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ปรับ 500 บาท รวมจำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาท ให้จำเลยและบริวารออกจากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ยึดถือครอบครอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์ข้อหาเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ประกอบมาตรา 108 ทวิ และยกคำขอที่ให้สั่งจำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่ยึดถือครอบครอง หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่าที่ดินบ้านหนองหูช้างเป็นที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง และทะเบียนที่สาธารณประโยชน์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า คำฟ้องโจทก์ระบุว่าจำเลยกระทำผิด เมื่อระหว่างต้นปี 2514 จนถึงวันฟ้องต่อเนื่องกันมา โดยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันและขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 และมาตรา 108 ทวิ นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะตามมาตรา 108 ทวิ ต้องเป็นกรณีที่กระทำฝ่าฝืน มาตรา 9 นับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 มีผลใช้บังคับคือวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 แต่ในคดีนี้จำเลยกระทำฝ่าฝืนมาตรา 9 ตั้งแต่ต้นปี 2514 กรณีจึงต้องปรับตามมาตรา 108 แต่ในคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายรายละเอียดของมาตรา 108 มาในคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องมิได้ระบุมาตรา 108 จึงลงโทษจำเลยตามมาตรา 108 ไม่ได้เช่นกัน จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายองค์ประกอบความผิดแห่งมาตรา 9 ไว้ชัดเจนแล้วว่า จำเลยได้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ทั้งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมากิ่งอำเภอเกาะจันทร์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าวภายใน 30 วัน แต่จำเลยเพิกเฉย ต่อมากิ่งอำเภอเกาะจันทร์ได้มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่พักอาศัยภายใน 7 วัน จำเลยได้รับทราบคำสั่งแล้วไม่ดำเนินการรื้อถอน ถือได้ว่าโจทก์บรรยายถึงการกระทำผิดของจำเลยครบถ้วนตามมาตรา 9 และมาตรา 108 แล้ว ดังนี้ แม้ตามคำฟ้องโจทก์ระบุวันกระทำผิดของจำเลยคือต้นปี 2514 อันเป็นวันก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 จะมีผลบังคับ ซึ่งต้องปรับบทตามมาตรา 108 ก็ตาม และตามคำฟ้องของโจทก์ได้อ้างมาตรา 108 ทวิ มิได้อ้าง 108 มาก็ตาม กรณีถือได้ว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองอยู่ในเขตที่ดินของรัฐ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันหรือไม่ ปัญหาในข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังมิได้วินิจฉัยในข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงนี้ โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณา โจทก์มีนายดลตรี ปลัดอำเภอกิ่งอำเภอเกาะจันทร์ เบิกความประกอบหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง สำเนาประกาศกระทรวงมหาดไทย แผนที่แสดงการบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ ทะเบียนที่สาธารณะ สรุปได้ว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์หนองหูช้าง เป็นที่ดินของรัฐที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หนองหูช้าง นอกจากนี้โจทก์มีนายธานี ตำแหน่งช่างรังวัด 5 สำนักงานที่ดิน จังหวัดชลบุรี สาขาพนัสนิคม เบิกความประกอบว่า พยานได้ไปทำแผนที่ตรวจสอบที่ดินหนองหูช้างร่วมกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอเกาะจันทร์โดยมีจำเลยนำชี้ด้วย ผลการรังวัดปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครองทำประโยชน์ทั้งสามแปลงอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หนองหูช้าง เห็นว่า นายธานีช่างรังวัดที่ดินมีความเชี่ยวชาญในการรังวัดที่ดิน ก่อนไปทำการรังวัดได้ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องและคำนวณตามหลักวิชาช่างแล้วก็ยืนยันว่าที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครอง อยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หนองหูช้างจริง นอกจากนี้ได้ความจากนายดลตรีว่า ในปี 2540 กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ต้องการสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอเกาะจันทร์ตรงบริเวณที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครอง ได้ให้เงิน จำนวน 20,000 บาท แก่จำเลยเป็นค่าวัชพืชที่จำเลยทำการเกษตรไว้ และให้จำเลยออกจากที่ดิน ซึ่งจำเลยได้นำสืบว่า ทางราชการได้ให้เงิน 20,000 บาท แก่จำเลยจริง และได้มีการทำบันทึกในการรับเงินไว้ ซึ่งข้อความในเอกสารดังกล่าวระบุว่า ที่ดินที่ทางราชการจะทำการก่อสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอเกาะจันทร์ซึ่งจำเลยครอบครองอยู่เป็นที่สาธารณประโยชน์ การที่จำเลยนำสืบบ่ายเบี่ยงว่า ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่นอกเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หนองหูช้าง เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ จึงไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปอีก และเมื่อการกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 108 ศาลจึงไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทเพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ประกอบมาตรา 108 จำคุก 3 เดือน ข้อหาและคำขออื่นให้ยก

Share