แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะมีอาการป่วยทางประสาทอย่างรุนแรง และได้เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วเป็นเวลาหลายเดือน และหลังจากออกจากโรงพยาบาลจำเลยยังต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้านด้วยการสั่งซื้อยาจากโรงพยาบาลมารับประทานก็ตาม แต่เมื่อศาลได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆจากจำเลยแล้ว ปรากฏว่าจำเลยสามารถพูดจาโต้ตอบได้ดี อีกทั้งในชั้นสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยยังได้เข้าเบิกความเป็นพยานโดยมิได้ปรากฏเหตุผิดปกติซึ่งส่อแสดงอาการวิกลจริตที่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้แต่ประการใด จำเลยคงต่อสู้คดีจนจบกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลนิติจิตเวชก่อน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ความผิดที่โจทก์ ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 5,600 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม จำคุก 10 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 5,600 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุมีคนร้ายบุกรุกเข้ามาในบริเวณบ้านผู้เสียหาย และทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ตามฟ้องปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีอาการป่วยทางประสาทอย่างรุนแรงและได้เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสราญรมย์มาแล้วเป็นเวลาหลายเดือนตามใบรับรองแพทย์ที่ 551/2534 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2534และหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว จำเลยยังต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้านด้วยการสั่งซื้อยาจากโรงพยาบาลมารับประทาน ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวจำเลยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลนิติจิตเวชก่อน เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2534 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นได้พิจารณาโดยซักถามเรื่องราวต่าง ๆจากจำเลยแล้วปรากฏว่าจำเลยสามารถพูดจาโต้ตอบได้ดีไม่ปรากฏอาการวิกลจริตที่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ จึงมีคำสั่งยกคำร้องปรากฏตามรายละเอียดในรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 2 เมษายน 2534ในชั้นสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยยังได้เข้าเบิกความเป็นพยานโดยมิได้ปรากฏเหตุผิดปกติซึ่งส่อแสดงอาการวิกลจริตที่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้แต่ประการใด จำเลยคงต่อสู้คดีจนจบกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ จึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ และวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเตะถูกที่คางผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย แต่ไม่เชื่อว่าจำเลยได้กระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไปจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยฐานชิงทรัพย์ซึ่งรวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือน คำขอนอกจากนี้ให้ยก