แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมใช้หนี้ให้โจทก์และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ภายหลังจำเลยจะอ้างว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมกันใหม่นอกศาล โดยโจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลย ซึ่งโจทก์ปฏิเสธ เพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่ อ้างฎีกาที่ 417/2504)
ย่อยาว
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมใช้เงินให้โจทก์ ๔๕,๐๐๐ บาท โดยผ่อนชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้วต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย และประกาศขายทอดตลาด จำเลยจึงยื่นคำร้องว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันใหม่ โดยโจทก์ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยรวม ๙,๐๐๐ บาทนอกนั้นโจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ ๕ ปี หากโจทก์ดำเนินการบังคับคดีภายในกำหนดดังกล่าว ยอมให้ปรับและเรียกค่าเสียหายซึ่งจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหากแล้ว ขอให้ศาลสั่งถอนการยึดทรัพย์ของจำเลย และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการขายทอดตลาดไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว
โจทก์แถลงคัดค้านว่า โจทก์ไม่เคยทำสัญญาประนีประนอมกับจำเลยนอกศาลนอกจากเคยได้รับเงินจากจำเลยรวม ๙,๐๐๐ บาท และออกใบรับให้จำเลยกับพวกได้สมคบกันปลอมแปลงเอกสารใบรับดังกล่าวเป็นอย่างอื่นไม่มีเหตุที่ศาลจะปล่อยทรัพย์ที่ยึด และระงับการขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีนี้เมื่อโจทก์ปฏิเสธว่าโจทก์มิได้ผ่อนเวลาในการชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยได้ทำไว้ต่อศาลแล้ว จำเลยก็จะอ้างเอาเอกสารที่ทำกันนอกศาลมาเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๑๗/๒๕๐๔
พิพากษายืน