คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7721/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยร่วมกับ ส. และ ม. เป็นหุ้นส่วนกันในสัญญาห้างหุ้นส่วนสามัญอันมิได้จดทะเบียนทำธุรกิจในกิจการรับถมดินให้แก่จำเลย แต่จำเลยร่วมเพียงผู้เดียวทำสัญญาเป็นผู้รับจ้างถมดินให้แก่จำเลยผู้ว่าจ้าง ตามสัญญาว่าจ้างถมดินเอกสารหมาย จ. 3 ส. และ ม. มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน แม้บุคคลทั้งสองจะเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยร่วมก็ตาม แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1049 ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่ ส. และ ม. จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าว่าจ้างถมดินตามสัญญาว่าจ้างถมดินเอกสารหมาย จ. 3 สิทธิเรียกร้องค่าจ้างถมดินจากจำเลยตามสัญญานี้จึงเป็นของจำเลยร่วมแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น จำเลยร่วมแต่เพียงผู้เดียวย่อมมีอำนาจโอนสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่ต่อจำเลยตามสัญญาว่าจ้างถมดินเอกสารหมาย จ. 3 ให้แก่โจทก์ได้ เมื่อจำเลยร่วมได้ทำหนังสือลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2539 โอนสิทธิเรียกร้องค่าจ้างถมดินที่จำเลยร่วมมีสิทธิได้รับจากจำเลยให้แก่โจทก์ โดยจำเลยร่วมจะไม่ยกเลิกเพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวตามหนังสือยืนยันหนี้เอกสารหมาย จ. 5 และในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 จำเลยได้รับแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องจากโจทก์แล้ว อันเป็นการปฏิบัติตามวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องที่ ป.พ.พ. มาตรา 303 วรรคหนึ่ง และมาตรา 306 วรรคหนึ่งบัญญัติไว้แล้ว สิทธิเรียกร้องของจำเลยร่วมในการรับเงินค่าจ้างถมดินจากจำเลยจึงตกเป็นของโจทก์ตั้งแต่นั้น จำเลยร่วมย่อมหมดสิทธิที่จะรับเงินดังกล่าวอีกต่อไป ภายหลังจากนั้นจำเลยร่วมหามีสิทธิที่จะเพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวหาได้ไม่ ดังนั้นหนังสือขอเบิกเงินค่าจ้างถมดินส่วนที่เหลือ ที่จำเลยร่วมทำให้ไว้ต่อจำเลยในภายหลังว่าไม่ประสงค์จะมอบหรือโอนสิทธิให้ผู้อื่นมารับแทนโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์นั้นหามีผลไม่
จำเลยและจำเลยร่วมได้ร่วมกันทำบันทึกยอมให้จำเลยปรับจำเลยร่วมในกิจการรับถมดินภายหลังจากที่จำเลยร่วมโอนสิทธิเรียกร้องค่าจ้างถมดินให้แก่โจทก์แล้วเพื่อเอาเปรียบโจทก์ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยจึงไม่อาจที่จะปรับโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไม่ชำระหนี้ค่าจ้างถมดินที่นายสงัดโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 673,477 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอให้เรียกนายสงัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันชำระเงิน 503,727 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 24 ธันวาคม 2539) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันชำระเงิน 503,727 บาท โดยให้จำเลยรับผิดร่วมเพียง 425,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 24 ธันวาคม 2539) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า สัญญาหุ้นส่วนทำธุรกิจเป็นสัญญาห้างหุ้นส่วนสามัญอันมิได้จดทะเบียนระหว่างจำเลยร่วมกับนายสุรินทร์และนายสมหมายในกิจการรับถมดินให้แก่จำเลย แต่จำเลยร่วมเพียงผู้เดียวทำสัญญาเป็นผู้รับจ้างถมดินให้แก่จำเลยผู้ว่าจ้าง ตามสัญญาว่าจ้างถมดินเอกสารหมาย จ. 3 นายสุรินทร์และนายสมหมายมิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน แม้บุคคลทั้งสองจะเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยร่วมก็ตาม แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1049 ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่ นายสุรินทร์และนายสมหมายจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าว่าจ้างถมดินตามสัญญาว่าจ้างถมดินเอกสารหมาย จ. 3 สิทธิเรียกร้องค่าจ้างถมดินจากจำเลยตามสัญญานี้จึงเป็นของจำเลยร่วมแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น จำเลยร่วมแต่เพียงผู้เดียวย่อมมีอำนาจโอนสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่ต่อจำเลยตามสัญญาว่าจ้างถมดินเอกสารหมาย จ. 3 ให้แก่โจทก์ได้ เมื่อจำเลยร่วมได้ทำหนังสือลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2539 โอนสิทธิเรียกร้องค่าจ้างถมดินที่จำเลยร่วมมีสิทธิได้รับจากจำเลยให้แก่โจทก์ โดยจำเลยร่วมจะไม่ยกเลิกเพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวตามหนังสือยืนยันหนี้เอกสารหมาย จ. 5 และในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 จำเลยได้รับแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องจากโจทก์แล้วตามหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องและใบตอบรับในประเทศเอกสารหมาย จ. 7 และ จ. 8 อันเป็นการปฏิบัติตามวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องที่ ป.พ.พ. มาตรา 303 วรรคหนึ่ง และมาตรา 306 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้แล้ว สิทธิเรียกร้องของจำเลยร่วมในการรับเงินค่าจ้างถมดินจากจำเลยจึงตกเป็นของโจทก์ตั้งแต่นั้น จำเลยร่วมย่อมหมดสิทธิที่จะรับเงินดังกล่าวอีกต่อไป ภายหลังจากนั้นจำเลยร่วมหามีสิทธิที่จะเพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวหาได้ไม่ ดังนั้น หนังสือขอเบิกเงินค่าจ้างถมดินส่วนที่เหลือเอกสารหมาย ล. 9 ที่จำเลยร่วมทำให้ไว้ต่อจำเลยในภายหลังว่าไม่ประสงค์จะมอบหรือโอนสิทธิให้ผู้อื่นมารับแทนโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์นั้นหามีผลไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อสุดท้ายว่า จำเลยมีสิทธิหักค่าปรับวันละ 5,000 บาท เป็นเวลา 85 วัน เพราะเหตุที่โจทก์หรือจำเลยร่วมส่งมอบงานล่าช้าหรือไม่ จำเลยก็อนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้างงวดแรกจำนวน 750,000 บาทในวันที่ 16 กันยายน 2539 และโจทก์ได้รับเงินค่าจ้างถมดินจำนวนนี้แล้ว การที่โจทก์ส่งมอบงานงวดแรกซึ่งเป็นการถมดินเพียงครึ่งหนึ่งของงานทั้งหมด และเหลือระยะเวลาอีกเพียง 2 วัน จะครบกำหนดตามสัญญาที่จะต้องถมดินให้เสร็จตามที่ตกลง ระยะเวลาที่เหลืออีกเพียง 2 วันเป็นระยะเวลาอันสั้น โอกาสที่โจทก์จะทำการถมดินให้เสร็จถูกต้องตามสัญญาย่อมเป็นไปได้ยากลำบากยิ่ง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้โต้แย้งหรือบอกสงวนสิทธิว่าจะเรียกเอาเบี้ยปรับตามที่ตกลงกันในเวลาที่รับชำระหนี้เลย หลังจากที่จำเลยยอมชำระหนี้โดยไม่มีเงื่อนไขแล้ว จำเลยยังยินยอมให้โจทก์ทำการถมดินในที่จำเลยอีกต่อไป และต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2539 ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากครบกำหนดตามสัญญาว่าจ้างประมาณ 1 เดือน จำเลยยังคงยินยอมให้จำเลยร่วมเบิกเงินทดรองล่วงหน้าอีกจำนวน 200,000 บาท ตามหนังสือขอเบิกเงินทดรองล่วงหน้าและสำเนาเช็คเอกสารหมาย ล. 7 การที่จำเลยยอมจ่ายเงินอีก 200,000 บาท ทั้ง ๆ ที่โจทก์และจำเลยร่วมถมดินให้ การที่โจทก์มีหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้อง และจำเลยได้รับเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 ตามเอกสารหมาย จ. 7 และ จ. 8 แล้ว คงยอมให้โจทก์ถมดินจนเสร็จในวันที่ 6 ธันวาคม 2539 จำเลยก็ไม่โต้แย้งทักท้วงแต่อย่างใด จำเลยเพิ่งจะให้จำเลยร่วมทำหนังสือยอมให้ปรับเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2539 ตามหนังสือขอเบิกเงินค่าจ้างถมดินส่วนที่เหลือเอกสารหมาย ล. 9 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับโจทก์ฟ้องคดีนี้ อันเป็นวันที่จำเลยร่วมไม่มีสิทธิในหนี้ดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้นได้ ย่อมเป็นข้อชี้แสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยและจำเลยร่วมได้ร่วมกันกระทำการดังกล่าวเพื่อเอาเปรียบโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงไม่อาจที่จะปรับโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีสิทธิหักค่าปรับมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share