แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีของศาลแพ่งซึ่งออกหมายบังคับคดีส่งไปให้ศาลจังหวัดเพชรบุรีบังคับคดีแทน จำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลก่อนที่การบังคับคดีจะดำเนินการไปได้โดยครบถ้วนและถูกต้อง กรณีจึงต้องด้วยบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 7 (2) ประกอบมาตรา 15 วรรคท้ายและมาตรา 302 วรรคหนึ่งและวรรคท้าย โดยโจทก์จะต้องเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีคือศาลแพ่งหรืออาจยื่นต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีซึ่งเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดีและบังคับคดีแทนเท่านั้น โจทก์จะนำคดีมาฟ้องที่ศาลแพ่งธนบุรีโดยอ้างเหตุจำเลยทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) หาได้ไม่ เพราะบทบัญญัติแห่งมาตรา 4 ดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 7 ศาลแพ่งธนบุรีจึงไม่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาพิพากษา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีประจำสำนักงานบังคับคดีจังหวัดเพชรบุรี อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2546 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ดำเนินการบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 45418 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นครั้งที่ 13 โดยติดจำนองไปด้วย ตามหมายบังคับคดีของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 459/2543 ระหว่างนางสุรีย์ โสภณโภไคย โจทก์ นางนิ่มนวล พินทุโยธิน จำเลย ซึ่งส่งไปให้ศาลจังหวัดเพชรบุรีบังคับคดีแทน โจทก์ได้เข้าประมูลและเป็นผู้ให้ราคาสูงสุด และไม่น้อยกว่าราคาสูงสุดของการประมูลในครั้งก่อน อีกทั้งไม่มีผู้คัดค้านแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เคาะไม้ขายทรัพย์ให้แก่โจทก์ โดยอ้างในคำสั่งว่าราคาที่โจทก์เสนอยังไม่เป็นราคาที่สมควรขาย อันเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 309 ทวิ วรรหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และให้โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวได้ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้น (ศาลแพ่งธนบุรี) ตรวจคำฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามคำฟ้องและคำขอบังคับของโจทก์มุ่งประสงค์ให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ไม่ขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้ราคาสูงสุดและราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาประมูลครั้งก่อน ซึ่งโจทก์เห็นว่าเป็นคำสั่งที่ฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาแพ่ง มาตรา 309 ทวิ วรรคหนึ่ง เป็นสาระสำคัญ กับมีคำขอให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นคำขอต่อเนื่อง ฟ้องของโจทก์จึงเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่ 459/2543 ของศาลแพ่งซึ่งออกหมายบังคับคดีส่งไปให้ศาลจังหวัดเพชรบุรีบังคับคดีแทน และจำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลก่อนที่การบังคับคดีจะได้ดำเนินไปได้โดยครบถ้วนและถูกต้องกรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (2) ประกอบมาตรา 15 วรรคท้าย และมาตรา 302 วรรคหนึ่งและวรรคท้าย เช่นกันโดยโจทก์จะต้องเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดี ในกรณีนี้ก็คือศาลแพ่งหรืออาจยื่นต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีซึ่งเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดีและบังคับคดีแทนเท่านั้น โจทก์จะนำคดีมาฟ้องที่ศาลชั้นต้นในคดีนี้ (ศาลแพ่งธนบุรี) โดยอ้างเหตุจำเลยทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) หาได้ไม่ เพราะบทบัญัติแห่งมาตรา 4 ดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติ มาตรา 7 ศาลชั้นต้นในคดีนี้จึงไม่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ที่ศาลชั้นต้นรับฟ้องและวินิจฉัยว่ากรณียังรับฟังมิได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขโดยไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งรับฟ้องของศาลชั้นต้น เป็นไม่รับคำฟ้องโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลแก่โจทก์