คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช่าช่วงเคหะบางส่วนโดยผู้ให้เช่าเดิมยินยอมแม้ต่อมาสัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่าเดิมกับผู้เช่าจะสิ้นอายุหรือผู้เช่ากับผู้ให้เช่าเดิมตกลงเลิกสัญญาเช่ากันแล้วจนผู้เช่าออกไปจากห้องเช่าแล้วก็ตามผู้เช่าช่วงก็อยู่ในฐานะเป็นผู้เช่า ไม่ใช่บริวารของผู้เช่า(เดิม)จึงได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯลฯ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกเลขที่ 542 และ 544ถนนทรงวาด อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร โดยรับซื้อจากเจ้าของเดิมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2496 ดังปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาขายกรรมสิทธิ์ที่ดินท้ายฟ้อง ตึกรายนี้เดิมนายเฮียกเซ็ง แซ่ฮ้อ ได้เช่าจากเจ้าของเดิมอยู่มา ครั้งสุดท้ายทำหนังสือสัญญาเช่า ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2494 ดังสำเนาท้ายฟ้อง มีกำหนดเวลา 1 ปี เมื่อครบกำหนดเช่าแล้วนายเฮียกเซ็ง แซ่ฮ้อได้บอกเลิกสัญญาเช่าและย้ายออกไปแล้ว ส่วนจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นบริวารของนายเฮียกเซ็ง อยู่ชั้นบนของตึกหลังนี้ไม่ยอมออกไปจากห้องเช่าของโจทก์ จึงขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากตึกรายนี้

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ และต่อสู้คดีมีใจความต้องกันว่า จำเลยมิใช่บริวารของนายเฮียกเซ็ง จำเลยทั้งสามอยู่ในตึกหลังนี้ในฐานะผู้เช่า โดยผู้ให้เช่าเดิมคือหม่อมเจ้าขจรจบกิติคุณ และผู้แทนได้ให้ความยินยอมและรู้เห็น กับมอบให้นายเฮียกเซ็งเป็นผู้เก็บค่าเช่าส่ง จำเลยได้เช่าเป็นที่อยู่หลับนอนไม่ได้ทำการค้าขาย จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน

ระหว่างพิจารณานายเฮียกเซ็ง แซ่ฮ้อ ร้องสอดขอเป็นจำเลยร่วมศาลอนุญาต

ทางพิจารณาได้ความว่า ตึกพิพาทเป็นของหม่อมเจ้าหญิงอัปสรสมาน ซึ่งหม่อมเจ้าขจรจบ กิติคุณ เป็นผู้จัดการและให้นายเฮียกเซ็ง แซ่ฮ้อผู้ร้องเช่าไปเป็นปี ๆ บ้างกว่าปีบ้าง ตามสัญญาเช่าหมาย ล.1 กับอนุญาตให้นายเฮียกเซ็งเช่าช่วงได้ตามเอกสาร ล.2 ตึกพิพาทเป็นตึก 2 ชั้นกั้นเป็น 4 ห้องจำเลยทั้งสามอยู่คนละห้องและผู้ร้องอยู่ห้องหนึ่ง ห้องชั้นล่างผู้ร้องให้เช่าทำเป็นโกดังเก็บสินค้า ครั้น พ.ศ. 2496 หม่อมเจ้าขจรจบ กิติคุณขายตึกพิพาทให้โจทก์ ก่อนขาย 4 เดือน ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับนายเฮียกเซ็ง และงดเก็บค่าเช่าแต่นั้นมา นายเฮียกเซ็งได้ย้ายไปอยู่ฝั่งธนบุรี ส่วนจำเลยอื่นยังคงอยู่ที่เดิมและไม่ยอมออกจากตึกพิพาท

ศาลล่างทั้งสองพิจารณาต้องกันฟังว่า จำเลยอยู่ในตึกฐานะเป็นผู้เช่าช่วงโดยได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าเดิม การเช่าช่วงนั้น เป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัย จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาได้ฟังโจทก์แถลงคารมและประชุมปรึกษาคดีแล้ว ฎีกาข้อแรกโจทก์คัดค้านว่า จำเลยต่อสู้เป็นประเด็นว่า เจ้าของเดิมมอบหมายให้นายเฮียกเซ็งเป็นผู้เก็บค่าเช่า แต่จำเลยกลับนำสืบว่าจำเลยเช่าช่วงจากนายเฮียกเช็ง เห็นว่าตามฟ้องโจทก์ในข้อ 2 โจทก์กล่าวว่าจำเลยทั้ง 3 ได้อยู่ในตึกรายนี้ชั้นบนในฐานะบริวารของนายเฮียกเซ็ง จำเลยให้การว่า อยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าไม่ใช่บริวารของนายเฮียกเซ็ง และนำสืบว่าได้ส่งค่าเช่าต่อนายเฮียกเซ็งโดยความยินยอมของเจ้าของเดิม นายเฮียกเซ็ง ผู้ร้องสอดก็เบิกความว่าผู้ร้องเช่าตึกพิพาทจากเจ้าของเดิม ๆ อนุญาตให้เช่าช่วงได้ผู้ร้องจึงให้จำเลยเช่าช่วงไปโดยผู้ร้องเป็นผู้เก็บค่าเช่า จึงไม่เป็นการสืบนอกประเด็น

โจทก์คัดค้านในข้อ 2 ว่า จำเลยทุกคนได้ยอมรับรู้ถึงการที่เจ้าของเดิมบอกเลิกเช่ากับผู้ร้องสอดเพื่อจะขายกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่น จำเลยทุกคนจึงงดไม่ยอมชำระค่าเช่าให้กับผู้ร้องสอดเห็นว่า การงดชำระค่าเช่าของจำเลยมิได้เป็นประเด็นที่โจทก์กล่าวไว้ในฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสามเป็นบริวารของนายเฮียกเซ็ง แต่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยทั้งสามไม่ใช่บริวารของนายเฮียกเซ็งแต่เป็นผู้เช่าช่วง แม้เจ้าของเดิมกับนายเฮียกเซ็งผู้เช่าจะตกลงเลิกสัญญาเช่าหรือสัญญาเช่าจะสิ้นอายุและนายเฮียกเซ็งได้ออกไปจากห้องพิพาทแล้วก็ตามเมื่อจำเลยได้เข้าอยู่ในตึกพิพาทโดยได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าเดิม จำเลยผู้เช่าช่วงก็อยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าห้องพิพาท และต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าเดิมและผู้รับโอนคือโจทก์ในคดีนี้ จำเลยหาได้อยู่ในห้องพิพาทในฐานะบริวารของนายเฮียกเซ็ง ผู้เช่าเดิมตามฟ้องของโจทก์ไม่ จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน

ฎีกาโจทก์ข้อสุดท้ายว่า สถานที่จำเลยเช่าอยู่เป็นทำเลการค้าไม่ใช่ทำเลอยู่อาศัยอันจะถือเป็นเคหะ แต่ข้อเท็จจริงแห่งคดีนี้จำเลยนำสืบฟังได้ว่า จำเลยได้เช่าตึกรายพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยโดยมิได้ประกอบการค้าแต่อย่างใด จึงเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว

จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฎีกาโจทก์

Share