แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีภริยาแยกกันอยู่ระหว่างใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 แล้วภริยาไปอยู่กับชู้จนเกิดบุตรด้วยกัน ดังนี้สามีภริยายังเป็นสามีภริยากันอยู่
ย่อยาว
ความว่า เดิมโจทก์แต่งงานกับนางม้อนอยู่กินด้วยกันเกิดบุตร 2 คน และมีสินสมรสหลายอย่าง ต่อมานางม้อนเป็นชู้กับจำเลยโจทก์แยกเรือนไปอยู่กับพี่สาวโจทก์ แต่มิได้หย่าขาดจากนางม้อนจำเลยก็อยู่กับนางม้อนอย่างออกหน้าออกตา เป็นเวลา 6 ปีเกิดบุตรด้วยกัน 3 คน แล้วนางม้อนวายชนม์ โจทก์จึงฟ้องเรียกเรือนหอซึ่งเป็นสินเดิมของโจทก์ และให้แบ่งสินสมรสให้โจทก์และบุตรโจทก์จำเลยต่อสู้ว่านางม้อนได้หย่าขาดกับโจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์กับนางม้อนได้เลิกร้างกันไปแล้ว บุตรโจทก์กับนางม้อนเท่านั้นเป็นผู้รับมรดก จึงพิพากษาให้แบ่งทรัพย์มรดกระหว่างบุตรโจทก์จำเลยคนละส่วน ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ยังคงเป็นสามีนางม้อนอยู่ทรัพย์ที่เป็นสินสมรสให้แบ่ง 3 ส่วน เป็นของโจทก์ 2 ส่วน อีก 1 ส่วนรวมกับสินเดิมของนางม้อนเป็นมรดกของนางม้อนให้แบ่งแก่บุตรนางม้อน 5 คน ๆ ส่วน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ระหว่างที่โจทก์แยกกับนางม้อนเป็นเวลาที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว ตามความในมาตรา 1497, 1498 โจทก์ยังคงเป็นสามีนางม้อนอยู่ การที่โจทก์ไม่ฟ้องชายชู้ก็ดีหรือการที่นางม้อนมีบุตรกับจำเลย 3 คน ก็ดี ไม่เป็นเหตุให้โจทก์หย่าขาดกับนางม้อน ส่วนเรื่องทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว
พิพากษายืน