แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์จากจำเลย หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก็อาจทำได้ด้วยการส่งมอบรถยนต์คืนแก่จำเลย ดังนั้น เมื่อโจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาโดยยังครอบครองรถยนต์คันที่เช่าซื้ออยู่ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากจำเลย แต่จำเลยผิดสัญญาไม่มอบทะเบียนรถยนต์ ป้ายทะเบียนและป้ายวงกลมติดรถยนต์ให้โจทก์โจทก์เสียหายไม่อาจนำรถยนต์บรรทุกออกใช้ประโยชน์ได้ จึงบอกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระให้โจทก์ไปแล้วบางส่วนและค่าขาดประโยชน์ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวม ๗๘๒,๕๒๕ บาท
จำเลยให้การความว่า จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้เนื่องจากโจทก์ยังครอบครองรถยนต์คันพิพาทอยู่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือค่าเช่าซื้อคืน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่โจทก์ยังครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้ออยู่ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่มีผลตามกฎหมายสัญญาเช่าซื้อยังมีผลผูกพันเหมือนเดิม โจทก์เรียกค่าเสียหายไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามพยานโจทก์ จำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไปยังจำเลยทั้งๆ ที่โจทก์ยังครอบครองรถยนต์คันพิพาทอยู่ เห็นว่าโจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากจำเลย หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก็อาจทำได้ด้วยการส่งมอบรถยนต์คันพิพาทคืนแก่จำเลย แต่ปรากฏว่าขณะโจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญา โจทก์ยังครอบครองรถยนต์คันพิพาทอยู่ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๓ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหาย
พิพากษายืน.