คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาค้ำประกันความว่า จำเลยที่ 2 ตำแหน่งประธานสมาคม จำเลยที่ 1 ขอทำสัญญาค้ำประกันว่า ตามที่จำเลยที่ 1 ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ขอรับรองว่า ถ้าหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์แทนจำเลยที่ 1 นั้น หาใช่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันในนามจำเลยที่ 1 ไม่เพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ยืมไม่อาจทำสัญญาค้ำประกันตนเองให้มีผลตามกฎหมายได้ ทั้งยังเป็นการฝ่าฝืนข้อสัญญาและสภาพแห่งสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ ๓ ฉบับ เป็นเงินรวม ๗๐๗,๔๐๕ บาท ตามสัญญาแต่ละฉบับ มีจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหารของจำเลยที่ ๑ ในฐานะส่วนตัวได้ทำสัญญาค้ำประกัน ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามกำหนดในสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันในฐานะประธานกรรมการสมาคมจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันในฐานะส่วนตัว จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนตัว ต้องรับผิดต่อโจทก์พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นประธานกรรมการสมาคม จำเลยที่ ๑ได้ทำสัญญาค้ำประกันมีใจความว่า จำเลยที่ ๒ ตำแหน่งประธานสมาคมจำเลยที่ ๑ขอทำสัญญาค้ำประกันว่า ตามที่จำเลยที่ ๑ ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยที่ ๒ ขอรับรองว่าถ้าหากจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้กับโจทก์ไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใด จำเลยที่ ๒ยอมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์แทนจำเลยที่ ๑ โดยไม่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๑ ก่อนแล้ววินิจฉัยว่า ตามข้อสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้ความชัดว่า จำเลยที่ ๒ ได้ยอมผูกพันเข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ว่าจะรับโอนชำระหนี้โจทก์แทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ซึ่งเป็นผู้ยืมไม่อาจทำสัญญาค้ำประกันตนเองให้มีผลตามกฎหมายได้แต่ประการใดข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ ที่ว่าไม่ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อสัญญาและสภาพแห่งสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัว
พิพากษายืน

Share