คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ที่สามีก่อขึ้นด้วยการกู้เงินโจทก์มาลงทุนทำการประมงหาเลี้ยงครอบครัวย่อมเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาและแม้โจทก์จะมิได้ฟ้องภริยาเป็นจำเลยร่วมกับสามีด้วยก็ตาม โจทก์ก็ยึดสินเดิมของภริยาเอาออกขายชำระหนี้โจทก์ตามที่สามีเป็นหนี้อยู่ตามคำพิพากษาได้(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2508)

ย่อยาว

โจทก์นำยึดที่ดิน อ้างว่าเป็นของจำเลย เพื่อขายทอดตลาดใช้หนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ผู้ร้อง (ภริยาจำเลย) ยื่นคำร้องขอให้ถอนการยึดโจทก์คัดค้าน

ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินเดิมของผู้ร้องและยังคงเป็นสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับผู้ร้องอยู่

ที่ผู้ร้องฎีกาว่า หนี้ที่จำเลยก่อขึ้นไม่ใช่หนี้ร่วม ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วจำเลยกู้เงินโจทก์มาเพื่อลงทุนทำการประมงหาเลี้ยงครอบครัวย่อมเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์และเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยสามีและผู้ร้องภริยา

ฎีกาข้อสุดท้ายผู้ร้องว่า เมื่อเป็นหนี้ร่วมโจทก์ก็ต้องฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยร่วมด้วย โจทก์จึงจะยึดได้ ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินที่โจทก์นำยึด แม้จะเป็นสินเดิมของผู้ร้อง ก็คงเป็นสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับผู้ร้องอยู่ และถ้าจำเลยกับผู้ร้องต้องรับผิดใช้หนี้ร่วมกันก็ให้ใช้จากสินบริคณห์ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 1462, 1480 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้นในการบังคับคดีในคดีลูกหนี้มีภริยานั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 282 วรรคท้ายบัญญัติว่า” ฯลฯ ทรัพย์สินที่เป็นของภริยา ฯลฯของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือเป็นทรัพย์สินที่อาจบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจยึดหรืออายัดและเอาออกขายได้ตามที่บัญญัติไว้ข้างบนนี้” สินบริคณห์จึงตกอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายวิธีสบัญญัติข้างต้น ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าแม้โจทก์จะมิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยร่วม ก็ยึดที่พิพาทเอาออกขายชำระหนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องผู้ร้องนั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share