คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินต่อกันโดยต่างทำนิติกรรมยกให้ที่ดินซึ่งกันและกัน ภายหลังศาลฎีกาได้พิพากษาว่า นิติกรรมที่จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตกเป็นโมฆะ โจทก์ต้องคืนที่ดินให้จำเลย ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยภายใน 1 ปี นับแต่วันทราบคำพิพากษาศาลฎีกา ขอให้จำเลยคืนที่ดินซึ่งจำเลยรับโอนจากโจทก์ ไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยเรื่องอายุความในลักษณะขอให้เพิกถอนนิติกรรมหรือเรียกคืนลาภอันมิควรได้หรือในลักษณะใด คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์, จำเลยที่ 1 ได้ตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินเฉพาะส่วนของตนต่อกัน โดยต่างทำนิติกรรมยกให้ที่ดินซึ่งกันและกัน ต่อมาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ได้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซึ่งจำเลยที่ 1 โอนที่ดินเฉพาะส่วนให้โจทก์นั้นเสีย โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสามี ศาลฎีกาพิพากษาว่า นิติกรรมตกเป็นโมฆะให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว ที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 รับโอนจากโจทก์จึงเป็นลาภมิควรได้ของจำเลยที่ 1 จึงขอเรียกที่ดินเฉพาะส่วนซึ่งโจทก์โอนให้จำเลยที่ 1 กลับคืน และเรียกค่าเสียหาย 2,000 บาท

จำเลยให้การปฏิเสธฟ้อง และตัดฟ้องว่าคดีขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินให้โจทก์ตามฟ้อง และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ 630 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2498 จนหยุดละเมิด

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้ทราบสิทธิที่จะเรียกที่ดินคืนจากจำเลยนั้น เกิดจากผลที่ศาลฎีกาพิพากษาว่า นิติกรรมที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้โจทก์ตกเป็นโมฆะ โจทก์ต้องคืนที่ดินให้จำเลยที่ 1 โจทก์ได้ทราบคำพิพากษาฎีกาซึ่งเป็นคำพิพากษาชั้นที่สุด เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2498 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2499 ไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยเรื่องอายุความในลักษณะขอให้เพิกถอนนิติกรรมหรือเรียกคืนลาภอันมิควรได้หรือในลักษณะใด คดียังไม่ขาดอายุความ

พิพากษายืน

Share