แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นลูกจ้างมีหน้าที่เป็นคนครัวซักเสื้อผ้าและอื่น ๆ ภายในบ้าน ถ้ามีเวลาว่างจึงช่วยดูแลเด็ก จำเลยได้นำเด็กอายุ 10 เดือน ซึ่งเป็นลูกของนายจ้างไปฝากผู้มีชื่อไว้โดยจำเลยอ้างว่าเป็นบุตรของจำเลยเอง เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครองตาม มาตรา 317 ส่วน มาตรา 306, 307 เป็นเรื่องทอดทิ้งเด็กไว้ ไม่ใช่การพาไปหรือพรากไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์ของนายเชากวงนายจ้าง และจำเลยพาเด็กชายเตียงเคียว อายุ ๑๐ เดือน พรากไปเสียจากนายเขากวงผู้บิดา จำเลยเคยต้องโทษมาแล้ว ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษ
จำเลยรับสารภาพฐานลักทรัพย์และรับในข้อเคยต้องโทษ ส่วนข้อพาเด็กไปจากบิดามารดา จำเลยรับว่าพาไปจริง แต่เพราะเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ๆ ร้องตาม จึงขาดเจตนา ไม่เป็นความผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน กับฐานพรากเด็กไปจากบิดามารดาตาม มาตรา ๓๑๗ จำคุก ๔ ปี ๖ เดือน รวมเป็นจำคุก ๖ ปี เพิ่มโทษ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๙๒ เป็น ๘ ปี ลดรับกึ่งตาม มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๔ ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ในเรื่องพาเด็กไปจากบิดามารดานั้น ควรลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๖, ๓๐๗ และการเพิ่มโทษจำเลยก็เพิ่มไม่ได้ เพราะ พ.ร.บ. ล้างมลทินฯ ไม่ถือว่าจำเลยเคยต้องโทษ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเป็นลูกจ้างนายเชากวงเพียงวันเดียวก็เกิดเหตุ มีหน้าที่เป็นคนครัวซักเสื้อผ้าและอื่น ๆ ภายในบ้าน ถ้ามีเวลาว่างจึงช่วยดูแลเด็ก ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า เด็กร้องตาม จึงฟังไม่ได้ จำเลยองก็ยังเบิกความรับว่า ได้นำเด็กไปฝากผู้มีชื่ออ้างว่าเป็นบุตรของจำเลยเอง ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ ส่วน มาตรา ๓๐๖, ๓๐๗ เป็นเรื่องทอดทิ้งเด็กไว้ ไม่ใช่การพาไปหรือพรากไป
ปัญหาเรื่องเพิ่มโทษได้ความว่า เพิ่งพ้นโทษฐานลักทรัพย์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๐๐ ภายหลังวันใช้ พ.ร.บ. ล้างมลทินฯ แล้ว จำเลยจึงไม่ได้รับผลจากการล้างมลทินแต่ประการใด
ศาลฎีกาพิพากษายืน