แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้ว่าระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันได้โดยผู้คัดค้านยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียว แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีผลเป็นการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีเพียงบางข้อ เพราะมีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงในสำนวนแล้ววินิจฉัยถึงสิทธิและคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายเสียก่อน ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามยอมให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมได้
ผู้ร้องเป็นภริยาของผู้ตาย เป็นส่วนได้เสียตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 วรรคแรก มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และผู้ร้องมีคุณสมบัติในการเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย กับมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกของผู้ตาย ประกอบกับผู้ร้องกับผู้คัดค้านตกลงกันได้ให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเพียงผู้เดียว จึงเห็นควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายฝ่ายเดียว
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้ตัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้องและตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนายสงบ พิสัยพันธ์ ผู้ตายร่วมกัน ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ระหว่างการนัดพิจารณาของศาลฎีกา ทนายผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันได้ โดยผู้คัดค้านยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้ตัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว ตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 ศาลชั้นต้นส่งสัญญาประนีประนอมยอมความมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นภริยาของนายสงบ พิสัยพันธ์ ผู้ตาย โดยได้จะทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2525 และมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ นางสาวอภัสสร พิสัยพันธ์ เมื่อปี 2533 ผู้ร้องได้จดทะเบียนหย่ากับผู้ตาย ปี 2543 ผู้ร้องได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ตายอีกครั้งหนึ่งส่วนผู้คัดค้านเป็นบุตรของผู้ตายอันเกิดจากนางจันทร์ วงค์เสนา ซึ่งผู้ตายได้รับรองแล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 ผู้ตายถึงแก่ความาตย ก่อนตายผู้ตายมีที่ดิน 2 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 1019 และเลขที่ 3529 ตำบลรัตนวาปี กิ่งอำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย ผู้ตายไม่ได้ทพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ใด ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องกับผู้คัดค้านตกลงกันให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียวตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า สมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียวหรือไม่ เห็นว่า แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ทนายผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันได้ โดยผู้คัดค้านยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียว แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีผลเป็นการตกลงกันในประเด็นแห่งคดีเพียงบางข้อ เพราะมีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงในสำนวนแล้ววินิจฉัยถึงสิทธิและคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายเสียก่อน ดังนั้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามยอมให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นภริยาของผู้ตายเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคแรก มีสิทิที่จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ และผู้ร้องมีคุณสมบัติในการเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย กับมีเหตุขัดข้องในการจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายประกอบกับในชั้นฎีกาผู้ร้องและผู้คัดค้านตกลงกันให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว จึงเห็นควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายฝ่ายเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ตั้งผู้ร้องเป็นผุ้จัดการมรดกของนายสงบ พิสัยพันธ์ ผู้ตาย ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ให้ยกคำร้องคัดค้าน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้ยกคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547