คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7680/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การเพิกถอนนิติกรรมตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง ต้องเพิกถอนทั้งหมด โดยมีผลเป็นว่าทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นถ้าเพิกถอนได้ก็ย่อมกลับคืนมาเป็นสินสมรสทั้งหมด มิใช่เพิกถอนแต่เฉพาะส่วนของคู่สมรสที่ไม่ให้ความยินยอม ดังนั้น ในทางกลับกันถ้าเพิกถอนไม่ได้เพราะบุคคลภายนอกดังกล่าวทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้ทั้งหมด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เคยเป็นสามีภริยากัน แต่ปัจจุบันจดทะเบียนหย่าแล้ว ในระหว่างเป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 16480 ซึ่งเป็นสินสมรสไปขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 250,000 บาท และต่อมาได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 1589 ซึ่งเป็นสินสมรสไปขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 560,000 บาท โดยโจทก์มิได้ยินยอม เนื่องจากจำเลยที่ 1 ปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์และจำเลยที่ 2 กระทำโดยไม่สุจริต โจทก์เพิ่งทราบการทำนิติกรรมการขายฝากที่ดินทั้งสองแปลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 16480 ตำบลขัวมุง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และที่ดินโฉนดเลขที่ 1589 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยจำเลยที่ 1 มีหนังสือมอบอำนาจลงลายมือชื่อของโจทก์ให้ขายฝากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาแสดง จำเลยที่ 2 จึงรับซื้อไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รู้มูลเหตุให้เพิกถอน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน แต่ให้ศาลชั้นต้นคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นส่วนที่เรียกเกินจำนวน 20,050 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติดังที่โจทก์และจำเลยที่ 2 แถลงรับข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2548 เอกสารในสำนวนสารบัญอันอับที่ 102 ว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินอันเป็นสินสมรสเลขที่ 16480 ตำบลขัวมุง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสโฉนดเลขที่ 1589 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ไปขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2 โดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาททั้งสองแปลง โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ตามสำเนาโฉนดที่ดินแปลงพิพาทเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงหรือไม่ เห็นว่า แม้การที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมขายฝากกับจำเลยที่ 2 โดยใช้เอกสารที่มีลายมือชื่อปลอมของโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยอมรับว่าขณะทำนิติกรรมดังกล่าว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่พิพาททั้งสองแปลง จึงถูกต้องชอบแล้ว ที่โจทก์อ้างเป็นข้อฎีกาว่าฟ้องโจทก์รวมถึงการขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากเฉพาะส่วนของโจทก์ในสินสมรสดังกล่าว ซึ่งแยกต่างหากจากส่วนของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า ในการเพิกถอนนิติกรรมสำคัญใด ๆ ที่บุคคลภายนอกทำการโดยไม่สุจริตหรือไม่ได้เสียค่าตอบแทนตามนัยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้นั้นเป็นเรื่องของนิติกรรมโดยตรง การเพิกถอนนั้นจึงต้องเพิกถอนทั้งหมด โดยมีผลเป็นว่าทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้น ถ้าเพิกถอนได้ ก็ย่อมกลับคืนมาเป็นสินสมรสทั้งหมด มิใช่เพิกถอนแต่เฉพาะส่วนของคู่สมรสที่ไม่ให้ความยินยอม ดังนั้น ในทางกลับกันถ้าเพิกถอนไม่ได้เพราะบุคคลภายนอกดังกล่าวทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเยี่ยงจำเลยที่ 2 นี้ ก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้ทั้งหมด”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share