แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รถยนต์พิพาทเป็นของโจทก์ น้องชายโจทก์เช่าไปขับรับจ้างชักลากไม้ให้บริษัทจำเลยที่ 3 โดยน้องชายโจทก์ได้เบิกเงินค่าจ้างล่วงหน้าไปจากจำเลยที่ 3 แล้งยังชักลากไม้ให้ไม่ครบตามจำนวนเงินที่ขอเบิกล่วงหน้าไป ต่อมาโจทก์ต้องการใช้รถยนต์พิพาท จึงให้น้องชายโจทก์พาคนไปขับรถยนต์พิพาทไปเสียจากบริษัทจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 3 มีหน้าที่ควบคุมรถยนต์บรรทุกไม้ รู้อยู่แล้วว่ารถยนต์พิพาทเป็นของโจทก์ ได้ไปขอกำลังตำรวจติดตามไปยึดรถยนต์พิพาทไว้โดยคำนึงอยู่แต่อย่างเดียวว่าน้องชายโจทก์ยังคิดค้างหนึ้สินบริษัทจำเลยที่ 3 อยู่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายและเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในระหว่างที่ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของบริษัทจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดในความเสียหายซึ่งเกิดจากผลของการละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 451 ส่วนจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ติดตามรถยนต์พิพาทไปกับจำเลยที่ 1 และแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจอีกท้องที่หนึ่งยึดรถยนต์พิพาทไว้ เมื่อปรากฏว่าได้กระทำไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยสุจริตใจจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ติดปั่นจั่นหมายเลข ก.ท.ษ.๑๖๒๙ จำเลยทั้งสี่ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ยึดรถยนต์ดังกล่าวพร้อมทะเบียนไว้โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของกลางในคดีอาญาข้อหาฉ้อโกง ยักยอก ความจริงรถของโจทก์มิได้เป็นทรัพย์ของกลางแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายส่งมอบรถยนต์และทะเบียนคืน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า รถคันพิพาทน้องชายโจทก์นำไปรับจ้างชักลากซุงให้บริษัท จำเลยที่ ๓ น้องชายโจทก์ได้ขอเบิกค่าจ้างล่วงหน้าจากจำเลยที่ ๓ เป็นเงินจำนวนหนึ่ง โดยให้คำมั่นว่าจะใช้รถคันที่พิพาททำงานรับจ้างให้แก่จำเลยที่ ๓ จนครบจำนวนเงินที่ขอเบิกล่วงหน้าไป ต่อมาน้อยชายโจทก์ได้บิดพลิ้วไม่ทำงานให้แก่จำเลยที่ ๓ และยังได้ถอนรถอื่นที่นำมารับจ้างอีก ๒ คันไปขายเสีย รถคันพิพาทได้มอบให้ไว้กับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการค้าให้แก่จำเลยที่ ๓ เพื่อเป็นประกันจำนวนเงินที่ขอเบิกล่วงหน้าไปจากจำเลยที่ ๓ พร้อมกับมอบคนขับรถไว้ควบคุมดูแลรถพิพาทด้วยได้ตกลงกันว่าห้ามมิให้ผู้ใดนำรถที่พิพาทไปจากจำเลยที่ ๑ เว้นแต่จะได้รับหนังสืออนุญาตของจำเลยที่ ๒ ในฐานะเป็นผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ ๓ หรือน้องชายโจทก์กับจำเลยที่ ๒ มาขอรับรถไปพร้อมกัน ในวันเกิดเหตุน้องชายโจทก์พาคันขับไปบอกจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๒ อนุญาตให้น้องชายโจทก์นำรถที่พิพาทไปทำงานรับจ้างให้แก่จำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ สงสัยจึงตามไปที่ที่น้องชายโจทก์อ้างว่าจะไป ก็ปรากฏว่าน้องชายโจทก์นำรถพิพาทหนีไปที่อื่น จำเลยที่ ๑ จึงไปแจ้งความกับเจ้าพนักงานตำรวจ แล้วออกติดตามไปทันกันที่ห้องที่หนึ่ง แต่น้องชายโจทก์ยังขืนนำรถพิพาทไป จำเลยจึงขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่นั้น (คือจำเลยที่ ๔) ออกติดตามแล้วยึดรถไว้ที่สถานีตำรวจ เพราะรถยนต์เสียนำกลับไม่ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ค่าเสียหายที่เรียกร้องไม่มีมูลที่จะเรียกได้และมากเกินกว่าเหตุ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องรถพิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยไม่รู้ว่ารถพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยจึงยึดรถพิพาทไว้เพราะเข้าใจว่าเป็นรถน้องชายโจกท์ที่ตำลงให้จำเลยจึงยึดรถพิพาทไว้เพราะเข้าใจว่าเป็นรถน้องชายโจทก์ที่ตกลงให้จำเลยยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของโจทก์และน้องชายโจทก์ทำให้จำเลยเข้าใจว่ารถที่พิพาทเป็นของน้องชายโจทก์ ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าได้มีการแสดงทะเบียนรถและใบมอบอำนาจของโจทก์ต่อจำเลยแล้วเมื่อตอนที่ยึดรถไว้ที่สถานีตำรวจแต่จำเลยก็ยังไม่ยอมคืนรถให้ การอายัดรถพิพาทของจำเลยไม่เป็นการละเมิดพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าขณะเกิดเหตุการละเมิดตามฟ้องโจทก์นั้นรถพิพาทเป็นของโจทก์ น้อยชายโจทก์เช่าไปขับรับจ้างลากไม้ให้จำเลยที่ ๓ โดยน้องชายโจทก์ได้เบิกเงินค่าจ้างล่วงหน้าไปจากจำเลยที่ ๓ แล้วยังชักลากไม้ให้ไม่ครบตามจำนวนเงินที่ขอเบิกล่วงหน้าไป ต่อมาโจทก์ต้องการใช้รถยนต์พิพาท จึงให้น้องชายโจทก์พาคนไปขับรถยนต์พิพาทไปเสียจากบริษัทจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ เป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ ๓ มีหน้าที่ควบคุมรถยนต์บรรทุกไม่รู้อยู่แล้วว่ารถพิพาทเป็นของโจทก์ได้ไปขอกำลังตำรวจติดตามไปยึดรถพิพาทไว้ โดยคำนึงอยู่แต่เพียงอย่างเดียวว่าน้องชายโจทก์ติดค้างหนี้สินบริษัทจำเลยที่ ๓ อยู่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำนั้น ส่วนจำเลยที่ ๒ ยังฟังไม่ได้ว่าได้ร่วมกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย เมื่อจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๓ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในระหว่างที่ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของบริษัทจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ จึงต้องรับผิดในความเสียหายซึ่งเกิดจากผลของการละเมิดที่จำเลยที่ ๑ ก่อขึ้นในฐานะเป็นตัวแทนนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา ๔๕๑ ส่วนจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ติดตามรถยนต์พิพาทไปกับจำเลยที่ ๑ และแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจอีกท้องที่หนึ่งยึดรถพิพาทไว้ เมื่อปรากฏว่าได้กระทำไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยสุจริตใจ จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ นอกจากที่แก้นี้คือคดีสำหรับตัวจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ คงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในผลที่ให้ยกฟ้อง