แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนเป็นคดีมีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ในการคำนวณทุนทรัพย์ค่าขึ้นศาลศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินพิพาททั้งแปลงไว้70,000บาทและมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2เฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอดกับทายาทอื่นเพียงจำนวน10ใน14ส่วนแล้วให้จำเลยที่1ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนให้โจทก์ทั้งสองคนละ10ใน14ส่วนและให้ผู้ร้องสอด7ใน14ส่วนจำเลยที่2อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องทุนทรัพย์หรือราคาที่ดินที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์คือราคาที่ดินส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอดชนะคดีคำนวณเป็นเงินแล้วไม่เกิน50,000บาทคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งการที่ศาลอุทธรณ์ภาค1รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่2ในข้อเท็จจริงจึงไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำวินิจแัยของศาลชั้นต้นแล้วเมื่อฎีกาของจำเลยที่2เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงแม้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้แต่คำรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วย่อมไม่เป็นผลศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และนายพิมพาเป็นบุตรของนายโจมและนางแวง ส่วนจำเลยที่ 1 และพี่น้องรวม 4 คนเป็นบุตรของนายโจมและนางหม่อน ที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 996พร้อมบ้านและที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 637 เป็นมรดกของนายโจม อันตกแก่โจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 และบรรดาทายาทอื่นซึ่งเป็นบุตรคนละเท่า ๆ กัน เมื่อปี 2532 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายโจมได้โอนขายที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 637ให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งรับโอนโดยไม่สุจริต ขอให้บังคับจำเลยที่ 1จดทะเบียนแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ใน 7ส่วน สำหรับบ้านที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 996นั้น หากไม่สามารถแบ่งได้ก็ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน ให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ทายาทและไม่มีสิทธิในกองมรดกของนายโจม จำเลยที่ 1 ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 637 ตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกโดยสุจริต ของให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่า นายโจมเจ้ามรดกกับผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของรวมและได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงตลอดมาจำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 637 เป็น ของผู้ร้องสอดครึ่งหนึ่ง และให้แบ่งในส่วนด้านทิศเหนือแก่ผู้ร้องสอด ให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้ขับไล่จำเลยที่ 2พร้อมบริวาร ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท หากไม่ยอมออกให้ถือเอาคำพิพากษาให้ผู้ร้องสอดมีอำนาจรื้อถอนเองโดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยที่ 2 เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนของผู้ร้องสอด
โจทก์ทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การแก้คำร้องสอด
จำเลยทั้งสองให้การแก้คำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดและบุตรทั้งสามไม่ใช่ทายาทของนายโจมเจ้ามรดก ที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์ที่ผู้ร้องสอดร่วมกับนายโจมเจ้ามรดกหามาได้ ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิหรือมีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งเข้าครอบครองทำประโยชน์นับแต่วันทำสัญญาซื้อขายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี จึงได้สิทธิครอบครองด้วย ขอให้ยกคำร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 637 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งสอง และผู้ร้องสอดกับทายาทอื่นจำนวน 10 ใน 14 ส่วนแล้วให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกไปจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ใน 14 ส่วน และจดทะเบียนโอนให้ผู้ร้องสอด 7 ใน 14ส่วน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา แล้วให้แบ่งทรัพย์พิพาทดังกล่าวตามส่วนที่คู่ความมีสิทธิจะได้รับหากตกลงกันไม่ได้ ให้ขายประมูลระหว่างคู่ความ หากตกลงประมูลราคากันไม่ได้ให้ขายทอดตลาดแล้วนำเงินแบ่งกันตามส่วน ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกแบ่งที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 996 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ใน 7 ส่วนถ้าตกลงกันไม่ได้ให้ประมูลราคากันระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 หากตกลงประมูลราคากันไม่ได้ให้ขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และผู้ร้องสอดโดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท และ 2,000 บาท ตามลำดับเฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสองใช้แทนตามจำนวนที่โจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอดชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอด 1,200 บาท
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ววินิจฉัยว่า ปัญหาสำหรับที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 996 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ใน 7ส่วนเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพราะไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คงมีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ซื้อที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 637 จากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตเป็นเหตุให้ไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1และที่ 2 หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นเรื่องการฟ้องเรียกกรรมสิทธิ์ที่ดินคืน เป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ปรากฎว่าในการคำนวณทุนทรัพย์ค่าขึ้นศาล ศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินพิพาททั้งแปลงไว้จำนวน 70,000 บาทและได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอดกับทายาทอื่นเพียงจำนวน 10 ใน 14 ส่วน แล้วให้จำเลยที่ 1ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ใน 14 ส่วนและให้ผู้ร้องสอด 7 ใน 14 ส่วน ฯลฯ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องแม้ศาลชั้นต้นจะถือราคาที่ดินพิพาททั้งแปลงจำนวน 70,000 บาท เป็นทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ก็ตามแต่ที่ถูกต้องนั้นทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์หรืออีกนัยหนึ่งคือราคาที่ดินส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอดชนะคดีคำนวณเป็นเงินแล้วไม่เกิน50,000 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นฟ้งข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมและจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของนายโจมเจ้ามรดกกับผู้ร้องสอดให้จำเลยที่ 2ย่อมเป็นการเสียเปรียบแก่โจทก์ทั้งสองและผู้ร้องสอดซึ่งอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน และจำเลยที่ 2 รับซื้อไว้โดยไม่สุจริตชอบที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 การที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลย ที่ 1 กับจำเลยที่ 2กระทำไปโดยสุจริตเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในข้อเท็จจริงจึงหาชอบไม่ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นอันยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2ล้วนแต่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงแม้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ แต่คำรับรองและอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วย่อมไม่มีผล ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และยกฎีกาของจำเลยที่ 2คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในชั้นฎีกาให้เป็นพับ