คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีอาชีพขับรถยนต์รับส่งคนโดยสารประจำทาง จำเลยมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังตรวจสภาพของรถให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยแก่ผู้โดยสารตลอดจนประชาชนคนเดินถนนและยวดยานต่างๆ ก่อนที่จะนำรถออกเดินรับส่งคนโดยสาร แต่กลับละเลยไม่ปฏิบัติ ได้ขับรถนั้นมาทั้งๆ ห้ามล้อมือใช้การไม่ได้ ทั้งยังฝ่าฝืนรับบรรทุกคนโดยสารเกินอัตราที่ได้รับอนุญาต เมื่อรถมีน้ำหนักมากลงสะพานจึงทำให้แล่นเร็วขึ้นยิ่งยากแก่การควบคุมขับขี่ ครั้นเมื่อรู้ว่าห้ามล้อเท้าใช้การไม่ได้ จำเลยก็ชอบที่จะบรรเทาผลร้ายโดยใช้ความระมัดระวังคุมพวงมาลัยบังคับรถให้เบียดชิดขอบทางไว้ตลอดเวลาให้รถหยุด แต่ก็มิได้ปฏิบัติทั้งๆ มีโอกาสปฏิบัติได้ รถจึงได้แล่นเปะปะไปชนรถยนต์และทับคนตาย ดังนี้ จำเลยต้องมีผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้คนตาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 17 สิงหาคม 2504 เวลากลางวัน จำเลยขับรถยนต์โดยสารประจำทางสายตลาดพลู – คลองเตย โดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง และฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าเป็นรถที่มีเครื่องอุปกรณ์ห้ามล้อมือไม่สมบูรณ์ บรรทุกคนโดยสารเกินอัตรา 60 คันที่ได้รับอนุญาต ในขณะข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้าห้ามล้อเท้าได้เสียลง จำเลยไม่ใช้ห้ามล้อโดยวิธีเปลี่ยนเกียร์เป็นเหตุให้ชนท้ายรถยนต์ของนาวาเอกพิสิษฐ ชนรถจักรยาน 3 ล้อของนายชุมพลชนเด็กชายบู้น้ำและชายไม่ทราบชื่อถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลวังบูรพา อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษ

จำเลยให้การปฏิเสธว่าเหตุเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย

ศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นว่า จะฟังว่าจำเลยประมาทไม่ได้พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยต้องรับผิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีอะไรจะแก้ตัว พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 3 ปี

จำเลยฎีกาว่ามิได้กระทำผิด

ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 6.30 น. จำเลยขับรถยนต์โดยสาร ร.ส.พ.สายตลาดพลู-คลองเตย ข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้า มีคนโดยสารแน่นเต็มรถประมาณ 70 คนเกินอัตราที่ได้รับอนุญาต เมื่อถึงโค้งที่จะเลี้ยวซ้ายลงสะพานสู่ฝั่งพระนคร ห้ามล้อเท้ารถจำเลยเกิดใช้การไม่ได้เนื่องจากลิ้นปิดเปิดหม้อลมไปบังคับห้ามล้อเท้าค้างทำให้ลมรั่ว รถจำเลยได้แล่นเบียดชิดขอบสะพานทางด้านขวาแล้ววิ่งออกกลางทางลงสะพาน เมื่อรถแล่นถึงเชิงสะพานมีป้ายบอกให้หยุดดูไปรถจำเลยได้แล่นเข้าชนท้ายรถยนต์เก๋งของนาวาเอกพิศิษฐ และสามล้อเครื่องเสียหาย แล้วเลยเข้าชนเด็กชายบู้น้ำและชายไม่รู้ชื่อถึงแก่ความตาย แล้วเลยไปหยุดที่กองดินข้างโรงเรียนสวนกุหลาบ

ปัญหาว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทหรือไม่นั้น ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามคำร้องตำรวจเอกเปล่งผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องยนต์และอุปกรณ์ว่า ห้ามล้อมือรถของจำเลยได้ถูกถอดออกก่อนที่จะนำรถมาใช้ และห้ามล้อมือใช้แทนห้ามล้อเท้าได้ในเมื่อห้ามล้อเท้าใช้การไม่ได้ จำเลยประมาทไม่ตรวจสภาพรถของจำเลยเท่าที่ควรเหตุจึงได้เกิดขึ้น ศาลฎีกาเห็นว่า ร้อยตำรวจเอกเปล่งมีความชำนาญในการตรวจพิสูจน์เครื่องอุปกรณ์และห้ามล้อรถยนต์ทุกชนิดที่เกิดอุบัติเหตุได้รับราชการในหน้าที่นี้มานาน ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้เชี่ยวชาญของศาลมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ทั้งเป็นคนกลาง ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่ามีการถอดอุปกรณ์สำหรับห้ามล้อมือออกก่อนจริง และห้ามล้อมือใช้แทนห้ามล้อเท้าได้เพราะบริษัทสร้างรถยนต์ทำห้ามล้อมือขึ้น ก็ย่อมจะมีการทดลองให้ใช้ได้ผลมิฉะนั้นแล้วก็คงไม่สร้างขึ้นโดยได้รับผลไม่เต็มที่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมีอาชีพขับรถยนต์รับส่งคนโดยสารประจำทาง จำเลยมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังตรวจสภาพของรถให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร ตลอดจนประชาชนคนเดินถนนและยวดยานต่าง ๆ ก่อนที่จะนำรถออกเดินรับส่งคนโดยสาร แต่จำเลยกลับละเลยไม่ปฏิบัติ ได้ขับรถนั้นมาทั้ง ๆ ห้ามล้อมือใช้การไม่ได้ทั้งยังฝ่าฝืนรับบรรทุกคนโดยสารมาในขณะเกิดเหตุถึง 70 คน เกินอัตราที่ได้รับอนุญาตให้บรรทุก เมื่อรถมีน้ำหนักมากองสะพานจึงทำให้วิ่งเร็วขึ้นยิ่งยากแก่การควบคุมขับขี่ครั้นเมื่อรู้ว่าห้ามล้อรถใช้การไม่ได้ จำเลยชอบที่จะบรรเทาผลร้ายโดยใช้ความระมัดระวังคุมพวงมาลัยบังคับรถให้เบียดชิดขอบทางไว้ตลอดเวลาให้รถหยุดก็จะไม่เกิดเหตุ แต่จำเลยก็ไม่ปฏิบัติทั้ง ๆ มีโอกาสจะปฏิบัติได้เพราะตามคำร้อยตำรวจเอกชาญพนักงานสอบสวนว่า ระยะทางจากใช้ห้ามล้อเท้าไม่ได้จนถึงที่รถจำเลยหยุดห่างกันถึง 5 เส้น ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้ขับรถเบียดชิดขอบสะพานเพื่อให้รถหยุดก็ไม่น่าเชื่อเพราะถ้าจำเลยตั้งใจเช่นนั้นจริง จำเลยก็น่าจะหันพวงมาลัยให้เลี้ยวชิดขอบทางไว้ตลอดเวลารถก็จะหยุดได้ แต่รถจำเลยกลับเลี้ยวออกมากลางถนนอีก ศาลฎีกาเห็นว่า การที่รถจำเลยเบียดขอบทางด้านขวาตรงหัวโค้งลงสะพาน น่าจะเพราะเหตุที่รถจำเลยบรรทุกคนโดยสารหนักเกินอัตรา เมื่อเลี้ยววงแคบน้ำหนักคนโดยสารทำให้รถเซเลี้ยววงแคบไม่ได้ จึงได้ไปชนขอบสะพานทางด้านขวามากกว่าแล้วรถจำเลยจึงได้เซออกมากลางถนน ตามคำนายแสวงพยานจำเลยผู้โดยสารรถจำเลยมาขณะเกิดเหตุเบิกความสมในข้อนี้ว่า เพราะรถหนักและคนเต็มรถ จำเลยจึงบังคับรถไม่ได้ รถจำเลยจึงได้แล่นเปะปะไปชนรถยนต์ รถสามล้อ เด็กชายบู้น้ำและชายไม่รู้ชื่อถึงแก่ความตายอันเป็นผลที่เกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share