แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ไปที่ร้านเจ้าทรัพย์ในวันเกิดเหตุหลายครั้งโดยมีพวกไปด้วยและต่อมาในคืนเกิดเหตุพวกของจำเลยเข้าทำการลักทรัพย์ในร้าน จำเลยคอยข้างนอกเพราะเกรงว่าเจ้าทรัพย์ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนจะจำหน้าได้เมื่อได้ทรัพย์มาแล้วแบ่งกันจำเลยได้รับส่วนแบ่ง พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยได้สมคบร่วมคิดและร่วมมือกระทำความผิดกับพรรคพวกต้องเป็นตัวการลักทรัพย์รายนี้ด้วยกัน
ศาลชั้นต้นลงโทษฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 295,59, จำคุก 1 ปี 4 เดือนศาลอุทธรณ์แก้ลงโทษตามมาตรา 321,59จำคุก 6 เดือน โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่ามีคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในเคหะสถานของนายเลี่ยมต่อมาจับของกลางหมายเลข 1 ถึง 7 ได้ที่บ้านนายเสริมจำเลยและเก็บของกลางหมายเลข 8-9 ได้ระหว่างทาง ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองสมคบกันลักทรัพย์ หรือรับทรัพย์ ของกลางหมายเลข 1 ถึง 9 ไว้จากผู้ร้ายโดยรู้ว่า ได้มาจากการกระทำผิด
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ระหว่างพิจารณา นายเสริมจำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้รับของกลางหมายเลข 1 ถึง 7 ไว้โดยรู้ว่าเป็นของร้ายได้มาจากการกระทำผิด เมื่อทำการพิจารณาเสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นายเสริมจำเลย มีความผิดตามมาตรา 295 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามมาตรา 59 แล้ว คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน กับให้ใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 2,360 บาท 30 สตางค์ นายสีไม่มีความผิด ให้ปล่อยตัวไป
นายเสริมจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่านายเสริมจำเลยมีความผิดฐานรับของของโจร ให้จำคุก 1 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 6 เดือนไม่ต้องใช้ราคาทรัพย์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า
1. นายเสริมจำเลยได้ไปที่ร้ายเจ้าทรัพย์ในวันที่จะเกิดเหตุหลายครั้ง มีพวกไปด้วย
2. ในคืนเกิดเหตุนายเสริมจำเลยไปกับพวก รู้กันว่าจะไปลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ นายเสริมจำเลยคอยอยู่ข้างนอก พวก 3 คนเข้าทำการลักทรัพย์ในร้าน เหตุที่คอยข้างนอก เพราะนายเสริมจำเลยรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าทรัพย์แล้วเจ้าทรัพย์จะจำหน้าได้
3. เมื่อลักทรัพย์ได้แล้วแบ่งกัน นายเสริมจำเลยได้รับส่วนแบ่งคือของกลางหมายเลข 1 ถึง 7
ศาลฎีกาเห็นว่า นายเสริมจำเลยได้สมคบร่วมคิดและร่วมมือกระทำความผิดรายนี้กับพรรคพวก ต้องเป็นตัวการลักทรัพย์ด้วยกัน
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดียืนตามศาลชั้นต้น