แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป. ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยชนผู้ตายซึ่งกำลังเดินข้ามถนน อันเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยและได้ครอบครองควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกลจึงเป็นกรณีอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437ดังนั้น จึงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้นร่วมกับ ป. เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง แม้การที่ผู้ตายไม่ข้ามถนนในทางข้ามซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุอันถือได้ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ตาม แต่ ป.มีส่วนประมาทมากกว่าเพราะ ป. ขับรถโดยไม่ชะลอความเร็วในขณะใกล้ถึงทางแยก การที่ผู้ตายมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหายศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์มากน้อยเพียงใดก็ได้โดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของนายลินพงหรือสิ่นฟง หรือถิ่นพง หรือเตี่ยงพง แซ่ห่าน จำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-1628 กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์2527 นายประจวบ จันทร์ศรี ลูกจ้างจำเลยขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยรับขนส่งคนโดยสารด้วยความประมาทเฉี่ยวชนนายลินพงขณะเดินข้ามถนนได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายโจทก์ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลผู้ตาย ค่าใช้จ่ายในการจัดการศพและค่าทำพิธีกงเต๊ก รวมเป็นเงิน 110,606 บาท ขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ 3,500 บาท โจทก์ขอคิดค่าขาดไร้อุปการะเป็นเวลา 10 ปี เป็นเงิน 420,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 539,130 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ได้เป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-1628 กรุงเทพมหานครและไม่ได้เป็นนายจ้างของนายประจวบ เหตุที่รถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-1628 กรุงเทพมหานคร ชนผู้ตายเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายประจวบ และเกิดจากความประมาทของผู้ตายเอง โจทก์เสียค่าจัดการทำศพไม่เกิน 20,000 บาทค่าขาดไร้อุปการะไม่เกิน 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 229,665.79 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายลินพงหรือสิ่นพง หรือถิ่นพง หรือเตี่ยงพงแซ่ห่าน ได้ถูกรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-1628กรุงเทพมหานคร ซึ่งนายประจวบ จันทร์ศรี ลูกจ้างจำเลยเป็นผู้ขับในทางการที่จ้างของจำเลยชนได้รับอันตรายสาหัสเมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2527 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา และถึงแก่ความตายในวันที่29 กุมภาพันธ์ 2527 เหตุเกิดที่ถนนสุขุมวิท บริเวณสี่แยกนานาซึ่งเป็นทางเดินรถทางเดียว แต่มีช่องเดินรถประจำทางเท่านั้นที่แล่นสวนได้ ตรงที่เกิดเหตุไม่มีทางคนเดินข้ามถนน คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า เหตุเกิดเพราะนายประจวบขับรถด้วยความประมาทโดยขับด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ไม่ระมัดระวังความปลอดภัยข้างหน้าตามฟ้องโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าเป็นความประมาทของผู้ตายฝ่ายเดียว เห็นว่า ขณะเกิดเหตุนายประจวบลูกจ้างจำเลยได้ทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางอันเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยและได้ครอบครองควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกล จึงเป็นกรณีอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ดังนั้นจึงต้องฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้นร่วมกับนายประจวบ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเองปรากฏว่านายประจวบหลบหนีไม่ได้ตัวมาเบิกความในชั้นพิจารณาคงมีนายศักดา ไทรเอี่ยม พนักงานอุบัติเหตุของจำเลยซึ่งไม่ได้เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่ได้เรียกตัวนายประจวบและนายปิยะเมฆสุวรรณ พนักงานเก็บค่าโดยสารมาสอบปากคำในวันรุ่งขึ้นเบิกความว่า ได้ความจากบุคคลทั้งสองว่า ผู้ตายเดินข้ามถนนไปแล้วถอยหลังเข้ามาในช่องทางเดินรถประจำทางของนายประจวบในระยะกระชั้นชิด นายประจวบห้ามล้อไม่ทัน ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1แต่จำเลยไม่ได้นำนายประจวบไปให้การต่อพนักงานสอบสวน พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย คดีฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่าเหตุชนผู้ตายเพราะนายประจวบขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ส่วนประเด็นเรื่องค่าเสียหาย โดยจำเลยฎีกาว่าผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายนั้นแม้การที่ผู้ตายไม่ข้ามถนนในทางข้ามซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุอันถือได้ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ตาม แต่เห็นว่านายประจวบมีส่วนประมาทมากกว่าเพราะเหตุที่ชนผู้ตายเนื่องจากนายประจวบขับรถไม่ชะลอความเร็วในขณะใกล้ถึงทางแยกเป็นสำคัญส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์สูงเกินไปนั้นเห็นว่า จำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ขอมา ได้แก่ค่าขาดไร้อุปการะและค่าใช้จ่ายในการปลงศพ ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 2,500 บาท เป็นเวลา 7 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นรวมค่าขาดไร้อุปการะ 210,000 บาท ได้ความว่าขณะเกิดเหตุผู้ตายมีอายุ 58 ปี พอที่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 65 ปี ศาลล่างทั้งสองกำหนดระยะเวลาให้อีก 7 ปี จึงนับว่าพอสมควรแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในการปลงศพผู้ตาย ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์รวม67,697 บาท เห็นว่า โจทก์มีเอกสารใบรับเงินมาแสดงจึงรับฟังได้ส่วนค่าใช้จ่ายตามเอกสารหมาย จ.12 (แผ่นที่ 2) และ จ.13 เป็นภาษาต่างประเทศไม่มีคำแปล แต่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ถึง 20,000 บาทนั้น เห็นว่า โจทก์ได้แสดงบัญชีรายการค่าใช้จ่ายในการจัดการศพตามเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นอีกหลายรายการซึ่งจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้าง ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้จึงเหมาะสมแล้ว ฉะนั้น เมื่อรวมค่ารักษาพยาบาลอีก8,524 บาท ซึ่งไม่มีประเด็นโต้แย้งในชั้นฎีกาแล้ว จึงเป็นค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น 306,221 บาท ผู้ตายมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหายประกอบด้วยซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 442 ศาลมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์มากน้อยเพียงใดก็ได้ โดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณตามมาตรา 223 ที่ศาลล่างทั้งสองลดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องใช้ให้แก่โจทก์ลง 1 ใน 4 นั้นเป็นประโยชน์แก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุสมควรที่จะลดให้ต่ำลงไปอีก”
พิพากษายืน