คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2262/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในการขายทอดตลาดทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่ามีผู้สู้ราคาสูงกว่าราคาที่ประมาณไว้ จึงรายงานต่อศาลว่าสมควรขายแก่ ผู้ให้ราคาสูงสุดคือผู้คัดค้าน ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ขายได้แสดงว่าราคาเหมาะสมแล้วและไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดโดยไม่สุจริต หรือมิได้ปฏิบัติตาม บทบัญญัติของกฎหมายและข้อบังคับที่กำหนดไว้ว่าด้วยวิธีการขายทอดตลาดดังนี้ การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจึงชอบด้วยกฎหมาย.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลแพ่งออกหมายบังคับคดีและขอให้ศาลจังหวัดภูเก็ตดำเนินการบังคับคดีแทน ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดภูเก็ตยึดที่ดิน 1 แปลง ของจำเลยที่ 2ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ มีผู้เข้าสู้ราคา 3 ราย ผู้ให้ราคาสูงสุดคือผู้คัดค้าน โดยให้ราคา 1,115,000 บาท โจทก์คัดค้านว่าราคาที่ผู้ซื้อให้สูงสุดยังไม่คุ้มจำนวนหนี้และราคาต่ำไปไม่สมควรขาย
โจทก์ได้ยื่นคำร้องว่า โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้เพราะจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนรวม 9,443,515 บาทผู้คัดค้านให้ราคาต่ำกว่าราคาประเมินของทางราชการมาก การขายทอดตลาดครั้งนี้มีผู้เข้าประมูลซื้อทรัพย์เป็นครั้งแรกและผู้เข้าประมูลสู้ราคามีพฤติการณ์ส่อว่าร่วมกันกดราคาให้ต่ำกว่าปกติ จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต เมื่อผู้เข้าประมูลสู้ราคาเสนอราคาสูงสุดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดียังไม่ได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์ คือมิได้ตกลงด้วยการเคาะไม้แต่กลับรายงานต่อศาลว่าได้เคาะไม้แล้ว เพื่อให้ศาลหลงผิดว่าได้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายโดยชอบแล้วเป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตการขายทอดตลาดครั้งนี้ไม่สมบูรณ์และไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้สั่งเพิกถอนคำสั่งการขายทอดตลาดของศาลจังหวัดภูเก็ต และให้ทำการประการศขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้ใหม่
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การขายทอดตลาดรายนี้ชอบด้วยกฎหมายแล้ว กล่าวคือเมื่อผู้คัดค้านเสนอให้ราคาสูงสุด และเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดภูเก็ตได้นับ 1 ถึง 3 แล้ว เมื่อไม่มีผู้ใดเสนอให้ราคาสูงกว่านั้นอีก จึงได้เคาะไม้ตกลงขายให้แก่ผู้คัดค้าน ขณะตัวแทนโจทก์นำยึดที่ดินแปลงนี้ได้ประเมินราคาที่ดินไว้เพียง 1,000,000 บาท และการประเมินราคาเพื่อจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของเจ้าพนักงานก็ประเมินไว้เพียง 988,650 บาท ที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินชายทะเลและรถยนต์เข้าไม่ถึงเพราะไม่มีทางสาธารณะผ่านเข้าไป ราคาที่ผู้ค้ดค้านเสนอซื้อและเจ้าพนักงานบังคับคดีตกลงขายเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้นับ 1 ถึง 3 และได้เคาะไม้แสดงการขายอันเป็นการดำเนินการขายทอดตลาดไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว…
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า ราคาที่ดินแปลงพิพาทที่ขายทอดตลาดต่ำกว่าสภาพความเป็นจริงมาก ขอให้ทำการขายทอดตลาดใหม่นั้นข้อเท็จจริงได้ความจากนายบุญเลิศพยานโจทก์และบันทึกการยึดทรัพย์กับหนังสือแจ้งราคาประเมินที่ดินของอำเภอถลางเอกสารหมาย ร.ค.3และ ร.ค.1 ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่26 ธันวาคม 2526 ได้ประมาณราคาที่ดิน 1,000,000 บาท ซึ่งผู้แทนโจทก์ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้นำยึดไว้ด้วย โดยไม่ปรากฏว่าผู้แทนโจทก์ได้คัดค้าน การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทกระทำกัน 2 ครั้งครั้งแรกไม่มีผู้สู้ราคา ส่วนครั้งหลังทำการขายเมื่อวันที่ 28มีนาคม 2529 มีผู้สู้ราคา 3 ราย ผู้คัดค้านเป็นผู้ให้ราคาสูงสุด1,115,000 บาท ราคาดังกล่าวสูงกว่าราคาประเมินของจังหวัดภูเก็ตเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธและนิติกรรม ซึ่งมีราคาตารางวาละ 25 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้น988,650 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่ามีผู้สู้ราคากว่าราคาที่ประมาณไว้ จึงรายงานต่อศาลเพื่อพิจารณาว่าสมควรขายแก้ผู้ให้ราคาสูงสุดคือผู้คัดค้านหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งอนุญาตให้ขายได้ ดังนี้แสดงว่าราคาที่ดินพิพาทที่ขายทอดตลาดไปเหมาะสมแล้ว และไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดโดยไม่สุจริต หรือมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายและข้อบังคับที่กำหนดไว้ว่าด้วยวิธีการขายทอดตลาดแต่อย่างใด การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จะขอให้ยกเลิกการขายหรือขอให้ทำการขายทอดตลาดได้ไม่…”
พิพากษายืน.

Share