แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทจำกัดเป็นโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าไม้ที่จำเลยซื้อไปในระหว่างที่โจทก์ร่วมกันออกทุนเข้าหุ้นค้าไม้ไปพลางระหว่างขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริง แต่อ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาส่งไม้ไม่ครบ มิได้ต่อสู้ว่าบริษัทเป็นคู่สัญญา ไม่มีประเด็นว่าหนี้สินตามฟ้องเป็นของบริษัทหรือไม่โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีได้ แม้จะปรากฏว่าบริษัทนั้นได้จดทะเบียนแล้วก็ตาม
สัญญาซื้อขายไม้ระบุให้ผู้ขายส่งไม้ถึงร้านค้าของผู้ซื้อที่จังหวัดพระนคร ผู้ขายต้องมีหน้าที่เสียค่าขนส่งเอง กรณีไม่เข้าลักษณะขนส่งทรัพย์สินซึ่งได้ซื้อขายกันไปยังที่แห่งอื่นนอกจากสถานที่อันพึงชำระหนี้ ซึ่งผู้ซื้อจะต้องออกค่าขนส่ง
โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายไม้กัน 2 ฉบับ ต่างวาระกันโจทก์ฟ้องเรียกราคาค่าไม้ซึ่งจำเลยค้างชำระตามสัญญาฉบับแรกจำเลยจะฟ้องแย้งว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ส่งไม้ตามสัญญาฉบับหลังเป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย ขอหักหนี้กับโจทก์หาได้ไม่ เพราะไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ทั้งหนี้ดังกล่าวโจทก์ก็ยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยจึงจะขอหักหนี้ในคดีที่โจทก์ฟ้องนี้มิได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งเจ็ดร่วมกันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทโรงเลื่อยจักรรวมมิตรจำกัด ในระหว่างขอจดทะเบียนนั้นผู้เริ่มก่อการได้ออกทุนเข้าหุ้นเพื่อดำเนินการค้าขายไม้แปรรูปร่วมกันไปพลาง จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ได้ตกลงซื้อไม้แปรรูป เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2505 ซึ่งมีอยู่ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ทุกขนาดโดยไม่จำกัดคุณภาพ จำเลยตกลงให้ราคาไม้มีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการความยาวเป็นราคาต่าง ๆ กันคิดเป็นลูกบาศก์ฟุต และให้โจทก์ส่งไปยังร้านค้าไม้จำเลยที่จังหวัดพระนคร โจทก์ส่งไม้แก่จำเลยครบตามสัญญา รวมราคาไม้ทั้งสิ้น 97,398.71 บาท จำเลยชำระเงินแก่โจทก์เพียง 20,000 บาท ยังค้างชำระ 77,398.71 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าไม้ที่ค้างเป็นเงิน 77,398.71 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นไต่สวน มีคำสั่งให้ยึดไม้แปรรูป โรงเก็บไม้เครื่องจักรไสไม้ของจำเลย ก่อนพิพากษาตามที่โจทก์ยื่นคำร้อง
จำเลยทั้งสองให้การกับฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ส่งไม้ตามสัญญาโดยส่งล่าช้าทั้งขาดจำนวนจากใบส่งของ ส่งไม้ที่เสียและเสื่อมคุณภาพค่าไม้ของโจทก์คงเหลือเพียง 48,058 บาท 28 สตางค์ จำเลยจ่ายเงินทดรองเป็นค่ารถบรรทุกไม้ 10 เที่ยวเป็นเงิน 4,600 บาท โจทก์รับเงินล่วงหน้าไปจากจำเลยก่อน 35,000 บาท จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์เพียง 8,458 บาท 28 สตางค์ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2505 โจทก์กลับมาเปลี่ยนแปลงสัญญาใหม่โดยขอส่งไม้แก่จำเลย1,200 ลูกบาศก์ฟุต แต่แล้วโจทก์ก็มิได้ส่งไม้ให้จำเลย เป็นเหตุให้จำเลยต้องซื้อไม้ส่งให้ลูกค้าจำเลยแพงขึ้นลูกบาศก์ฟุตละ 7 บาทและขาดประโยชน์ที่ควรได้ เป็นเงิน 8,400 บาท เมื่อหักหนี้โจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายส่วนนี้ จึงเหลือเงินที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 58.28 บาท และว่าการที่ศาลมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์จำเลยก่อนมีคำพิพากษาทำให้ต้องหยุดดำเนินการค้า ได้รับความเสียหายขาดผลกำไรจากการค้ากับขาดผลประโยชน์ที่ควรได้รวม9,000 บาท เมื่อหักเงินที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 58.28 บาท คงเป็นเงินที่จำเลยฟ้องแย้ง 8,941.72 บาท ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเสียหายดังกล่าวแก่จำเลยรวมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ส่งไม้ครบถ้วน โจทก์ไม่เคยรับเงินล่วงหน้าจากจำเลย โจทก์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงหรือสัญญากับจำเลย หากโจทก์ขายไม้แปรรูปแก่จำเลยอีกรายการหนึ่งจากที่ตกลงกันตามฟ้องจำเลยไม่ได้รับความเสียหาย โจทก์ขอรับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254, 264 โดยสุจริตขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินให้โจทก์ 36,471 บาท 29 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และให้ยกฟ้องแย้งจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 2 ฝ่ายเดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เสนอฟ้องผิดศาล จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว
“จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโรงเลื่อยจักรรวมมิตรจำกัดได้จดทะเบียนเป็นบริษัทแล้ว หนี้สินตามฟ้องย่อมโอนเป็นของบริษัท หากโอนก่อนฟ้อง โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องถ้าโอนภายหลัง บริษัทก็จะต้องร้องสอดเข้ามาดำเนินคดีเอง โจทก์จะดำเนินคดีต่อไปไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าไม้ที่จำเลยซื้อไปในระหว่างที่โจทก์ร่วมกันออกทุนเข้าหุ้นค้าไม้แปรรูปไปพลางก่อน จำเลยก็ให้การรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริง หากแต่อ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาส่งไม้ไม่ครบเท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่าบริษัทเป็นคู่สัญญา ไม่มีประเด็นว่าหนี้สินตามฟ้องเป็นของบริษัทหรือไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีนี้”
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้รับไม้ตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.5, จ.26 และ จ.29 นั้นคลาดเคลื่อนเพราะจำเลยไม่ได้รับไม้ดังกล่าว
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว เชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่าได้ส่งไม้ตามเอกสารดังกล่าวให้จำเลยแล้ว
“จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งเป็นสัญญาจะซื้อจะขายระบุหน้าที่ผู้ขายว่าจะต้องส่งไม้ทั้งหมดไปถึงร้านจำเลยที่กรุงเทพฯ จึงเป็นหน้าที่โจทก์เป็นผู้ออกค่ารถขนส่งจำนวน 4,600 บาทที่จำเลยทดรองจ่ายไป จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 464 มาบังคับในกรณีนี้ไม่ได้
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.34 หรือ ล.1 ระบุไว้ในตอนท้ายว่า ให้บริษัทโรงเลื่อยจักรรวมมิตร จำกัด ส่งไม้ทั้งหมดมาถึงร้านจำเลยที่กรุงเทพฯ ประกอบกับคำเบิกความของโจทก์ที่ 1 เอง ในชั้นไต่สวนขอความคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณา ที่เบิกความถึงราคาไม้ตามเอกสาร จ.34 ว่า “ไม้ตามราคาดังกล่าวนี้ ต้องจัดส่งให้ถึงร้านค้าไม้ของจำเลยที่กรุงเทพฯ และจะส่งให้เมื่อเขาออกใบสั่งมา” ดังนี้ย่อมฟังได้ว่า โจทก์ตกลงคิดราคาไม้ดังกล่าวรวมทั้งค่าขนส่งไปถึงร้านค้าไม้ของจำเลยเสร็จแล้ว กรณีไม่เข้าลักษณะขนส่งทรัพย์สินซึ่งได้ซื้อขายกันไปยังที่แห่งอื่นนอกจากสถานที่อันพึงชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 464 โจทก์จึงมีหน้าที่เสียค่ารถขนส่งจำนวน 4,600 บาท ที่จำเลยทดรองจ่ายไปดังกล่าว และจำเลยย่อมคิดหักจากค่าไม้ที่จะชำระให้โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อนี้ว่าจำเลยต้องออกค่าขนส่งเองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายไม้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2505 ตามเอกสารหมาย ล.2 อีกฉบับหนึ่ง โจทก์รับเงินค่าไม้ล่วงหน้าจากจำเลย 5,000 บาท โจทก์ผิดสัญญาไม่ส่งไม้ที่ซื้อขายกันให้จำเลย จำเลยต้องไปซื้อไม้ที่อื่นราคาแพงขึ้น 8,400 บาท จำเลยเอาเงินจำนวนนี้กับค่าไม้ล่วงหน้า 5,000 บาท หักหนี้กับโจทก์คดีนี้ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาจะซื้อจะขายไม้ฉบับวันที่ 17 กันยายน 2505ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม หากจำเลยเสียหายเพราะโจทก์ผิดสัญญาไม่ส่งไม้ตามสัญญาอย่างใด ก็ชอบที่จะฟ้องร้องว่ากล่าวกันต่างหากจากคดีนี้ จะฟ้องแย้งในคดีนี้หาได้ไม่ ทั้งหนี้ดังกล่าว โจทก์ก็ยังมีข้อต่อสู้อยู่จำเลยจึงจะขอหักหนี้ในคดีนี้ไม่ได้”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินให้โจทก์ 31,871 บาท 29 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์