คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479 มาตรา 4 ได้แบ่งทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์เป็น 3 ประเภท คือทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาตรา 5 บัญญัติว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (เว้นเครื่องอุปโภคบริโภค) ให้อยู่ในความดูแลรักษาและจัดหาประโยชน์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อที่ดินมีตราจองในคดีนี้ยังอยู่ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่สำนักงานทรัพย์สินสวนพระมหากษัตริย์ผู้ร้องอ้างว่าเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อยู่ในความดูแลของผู้ร้องแล้วจึงมีปัญหาว่าที่ดินตามตราจองนี้เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หรือไม่ การวินิจฉัยปัญหานี้เป็นอำนาจของศาลที่จะวินิจฉัยเจ้าพนักงานที่ดินไม่มีอำนาจเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์ในตรา จองมาเป็นนามผู้ร้องได้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตราจองจากพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มาเป็นนามของผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ เพื่อผู้ร้องจะได้ดำเนินการขอเปลี่ยนจากตราจองเป็นโฉนดต่อไปได้
ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องขอให้ลงชื่อผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์นั้นเป็นการขอถือกรรมสิทธิ์แทนพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ในการจัด การทรัพย์สิน จึงไม่ใช่การจดทะเบียนสิทธิการได้มาซึ่งที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 เจ้าพนักงานที่ดินจะอาศัยบทกฎหมายดังกล่าวจดทะเบียนลงชื่อผู้ร้องหาได้ไม่

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินบริเวณเขตพระราชวังไกลกังวล ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งรวมทั้งที่ดินตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” ๑๑ ตราจอง ตามบัญชีท้ายคำร้องเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตกมาอยู่ในความดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ของผู้ร้องตามกฎหมายตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๑
ผู้ร้องได้ตรวจสอบปรากฏว่าที่ดิน ๑๑ ตราจองดังกล่าวยังอยู่ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ถือกรรมสิทธิ์ยังมิได้เปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์มาเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้ร้องเคยมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขอรวมตราจองที่ดินบริเวณพระราชวังไกลกังวล ๒๑ ตราจอง แล้วเปลี่ยนเป็นโฉนดในนามของผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ดำเนินการรวมตราจองโอนเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์จากกระทรวงการคลังมา เป็นนามผู้ร้อง ๑๐ ตราจอง อีก ๑๑ ตราจองที่เป็นพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ เจ้าพนักงานให้มาขอคำสั่งศาลเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์เสียก่อน จึงจะดำเนินการรวมตราจองเปลี่ยนเป็นโฉนดให้ผู้ร้องต่อไป จึงขอให้ศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ๑๑ ตราจองตามบัญชีท้ายคำร้องจากพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มาเป็นนามสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือกรรมสิทธิ์เพื่อผู้ร้องจะได้ดำเนินการขอเปลี่ยนจากตราจองเป็น โฉนดต่อไป
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วสั่งว่า ความขัดข้องของผู้ร้องเกิดจากเจ้าพนักงานที่ดินไม่ดำเนินการให้ตามความประสงค์ของผู้ร้อง ไม่เข้าเหตุที่จะใช้สิทธิทางศาลได้จึงไม่อาจรับไว้พิจารณา ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ถ้าผู้ร้องขอจดทะเบียนสิทธิที่ดิน ๑๑ ตราจอง ลงชื่อผู้ร้องเสียก่อนแล้วจึงขอรวมเป็นโฉนดเดียวกัน ก็ไม่น่าจะมีเหตุที่เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องไม่ดำเนินการให้ เพราะกรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานที่ดินย่อมดำเนินการไปได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งศาลมาแสดง ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๑ วรรค ๗ กฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินข้อ ๙(๑) แต่ผู้ร้องจะให้เจ้าพนักงานที่ดินรวมที่ดินตามตราจองทั้งหมดเป็นที่ดินแปลงเดียวกันเสียก่อนแล้วจึงเปลี่ยนเป็นโฉนดในนามผู้ร้อง ทำให้ขัดต่อระเบียบของกรมที่ดินที่ ๑๒/๒๕๐๐ ที่วางระเบียบในเรื่องการรวมโฉนดตราจองไว้ว่าต้องมีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินทุกฉบับและยังมีชีวิตอยู่ทุกคน ผู้ร้องจะอ้างว่ามีความจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่มีบทกฎหมายสนับสนุนหาได้ไม่ พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ๑๑ ตราจองมาเป็นนามของผู้ร้องได้หรือไม่ ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.๒๔๗๙ มาตรา ๔ ได้แบ่งทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ออกเป็น ๓ ประเภท คือ
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ หมายความว่า ทรัพย์สินที่เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้วก่อนเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ หรือทรัพย์สินที่รัฐทูลเกล้า ฯ ถวาย หรือทรัพย์สินที่ทรงได้มาไม่ว่าทางใดและเวลาใด นอกจากที่ทรงได้มาในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ทั้งนี้ รวมทั้งดอกผลที่เกิดจากบรรดาทรัพย์สินเช่นว่านั้นด้วย
ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หมายความว่า ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ซึ่งใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่าพระราชวัง
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หมายความว่า ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์นอกจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวแล้ว
มาตรา ๕ ได้บัญญัติไว้ว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (เว้นเครื่องอุปโภคบริโภค) ให้อยู่ในความดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
สำหรับที่ดิน ๑๑ ตราจองนี้มีหลักฐานตามตราจองว่า อยู่ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ถือกรรมสิทธิ์อาจเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้น แต่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ในความดูแลของผู้ร้องมาแต่ พ.ศ.๒๔๙๑ แล้ว จึงเป็นปัญหาว่าที่ดินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.๒๔๗๙ หรือไม่ การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวย่อมเป็นอำนาจของศาลที่จะเป็นผู้วินิจฉัย เจ้าพนักงานที่ดิน (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) ไม่มีอำนาจจะเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์ในตราจองมาเป็นนามของผู้ร้องได้ ผู้ร้องมีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องนี้เพื่อประโยชน์ในการจัดการทรัพย์สินตามหน้าที่ หากทางพิจารณาฟังได้ว่าที่ดินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ศาลก็ย่อมสั่งเปลี่ยนนามผู้ถือกรรมสิทธิ์ในตราจองมาเป็นนามผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินรายนี้ตามกฎหมาย หากฟังไม่ได้ก็ยกคำร้องไป
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ผู้ร้องขอจดทะเบียนสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๗๘ และกฎกระทรวงฉบับที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๙๗) เสียก่อน แล้วจึงขอรวมโฉนดในภายหลังนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดิน ๑๑ ตราจองนี้เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องการที่ผู้ร้องขอให้ลงชื่อผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์นั้น เป็นการขอถือกรรมสิทธิ์แทนพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ในการจัดการทรัพย์สิน จึงไม่ใช่การขอจดทะเบียนสิทธิการได้มาซึ่งที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๗๘ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เจ้าพนักงานที่ดินจะอาศัยบทกฎหมายดังกล่าวจดทะเบียนลงชื่อผู้ร้องในตราจองหาได้ไม่
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้รับคำร้องแล้วดำเนินการไต่สวนต่อไปตามกระบวนความ

Share