แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีหน้าที่สืบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย ได้ร่วมกันตรวจค้นพบกัญชาและกล้องสูบกัญชาซึ่งเป็นของผิดกฎหมายในบ้านพักของ ว. แล้วไม่จับกุมนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายตามตำแหน่งหน้าที่ของตน แต่กลับร่วมกับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพลเรือนเรียกร้องเอาเงินจาก ว.เพื่อไม่กระทำการจับกุมตามหน้าที่แล้วให้ ว. ไปเอาเงินมาให้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 148 เพราะจำเลยไม่ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบโดยแกล้งขู่ว่าจะจับ ว. โดยไม่ได้กระทำความผิด และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นความผิดตามมาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วแม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตามมาตรา 157 มาด้วย ก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกบทหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพลเรือน มีฐานะเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 86 เท่านั้น
ในกรณีดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เรียกเงินจาก ว.แล้วให้ว.ไปเอาเงินก็เพื่อจะไม่จับกุมว. ไม่ใช่ว่าจับกุมแล้วเรียกเงินเพื่อจะปล่อย แม้ขณะที่ ว. จะไปเอาเงิน จำเลยจะให้พวกจำเลยคนหนึ่งไปด้วยเป็นทำนองว่าเพื่อควบคุมตัว ว. โดยปริยายแต่เมื่อมีผู้ทักท้วงขึ้น จำเลยก็มิได้ไปด้วย เพียงแต่ให้ ว. ลงชื่อในบันทึกการจับกุมไว้เท่านั้น โดยกล่าวว่าถ้าไม่ยอมลงชื่อจะจับไปสถานีตำรวจ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จับควบคุมตัว ว. อันจะเข้าเกณฑ์ว่ามีการคุมขังแล้วดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191 ตามที่แก้ไข และมาตรา 204จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191,204
การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยมานั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้ตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวนี้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจสืบสวนคดีอาญา และจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย พร้อมทั้งมีหน้าที่ควบคุมผู้ถูกจับกุมส่งพนักงานสอบสวนและเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ได้จับกุมและควบคุมตัวจ่าอากาศโทวอลเตอร์ ในข้อหามีกัญชาและเครื่องสูบกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต และโดยทุจริตได้ร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบด้วยหน้าที่เรียกเงินจำนวน2,000 บาทจากจ่าอากาศโทวอลเตอร์ และให้ไปหาเงินจำนวน 2,000 บาทที่เรียกร้องมาโดยมิชอบโดยบอกว่าเมื่อหามาให้ได้แล้วจะปล่อยตัวไม่นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี อันเป็นการจูงใจให้จ่าอากาศโทวอลเตอร์ให้หามาได้ซึ่งทรัพย์สิน และเรียกทรัพย์สินเพื่อไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยหน้าที่และโดยทุจริต แล้วจำเลยดังกล่าวได้ร่วมกันปล่อยจ่าอากาศโทวอลเตอร์ ผู้ถูกคุมขังในอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาให้หลุดพ้นจากการคุมขังไป ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 4 ได้ช่วยพูดเรียกเงินและแนะนำให้ปล่อยจ่าอากาศโทวอลเตอร์ พ้นจากการควบคุมเพื่อไปหาเงินที่เรียกร้องมาให้ อันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวก ในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 กระทำผิดดังกล่าวก่อนหรือขณะกระทำความผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149, 157, 191, 204, 83, 86, 90, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 4, 5, 13 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2, 4
จำเลยทั้ง 4 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157, 204 การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 5 ปี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 204 ให้จำคุกคนละ 1 ปี รวมคนละ 6 ปี จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157, 86, 191 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 86 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน และให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191 อีก 8 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 4 สี่ปี คำขอของโจทก์ นอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยทั้ง 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157, 191, 20 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 149 มาตราเดียว ให้ลงโทษจำคุกคนละ 5 ปีจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157, 191,204, 86 ให้ลงโทษตามมาตรา 149, 86 สถานเดียว โดยจำคุก 3 ปี 4 เดือน
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ด้วย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ตามมาตรา 148 ลงโทษจำเลยที่ 4 ตามมาตรา 148, 86 ด้วย กับขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่แต่ละกรรมเป็นกระทงความผิดไป
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191, 204
จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 4 เป็นพลเรือนได้นำจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีหน้าที่สืบสวนและจับกุมผู้กระทำผิด ไปจับจ่าอากาศโทวอลเตอร์ที่บ้านพักในข้อหามีกัญชาและกล้องสูบกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากการตรวจค้นพบกัญชาและกล้องสูบกัญชาในบ้านพักของจ่าอากาศโทวอลเตอร์แล้วเรียกเอาเงิน 2,000 บาทจากจ่าอากาศโทวอลเตอร์เพื่อจะไม่จับส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย แล้วให้จ่าอากาศโทวอลเตอร์ ไปเอาเงินมาให้
ปัญหามีว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตราใดบ้าง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวการกระทำของจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502มาตรา 5 ที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ด้วยนั้น เห็นว่า การกระทำที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 4 นั้นจะต้องเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เช่นแกล้งกล่าวหาจับกุมเขาเป็นต้น แล้วใช้อำนาจนั้นข่มขืนใจหรือจูงใจให้เขามอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น แต่คดีนี้จ่าอากาศโทวอลเตอร์ กระทำความผิดจริงจำเลยไม่ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบโดยแกล้งขู่ว่าจะจับจ่าอากาศโทวอลเตอร์ โดยไม่ได้กระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 148 ดังที่โจทก์ฎีกา และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกบทหนึ่ง แต่การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เรียกเงินจากจ่าอากาศโทวอลเตอร์ แล้วให้จ่าอากาศโทวอลเตอร์ ไปเอาเงินนั้นคดีได้ความว่าจำเลยเรียกเงินเพื่อจะไม่จับกุมจ่าอากาศโทวอลเตอร์ไม่ใช่ว่าจับกุมแล้วเรียกเงินเพื่อจะปล่อย แม้ขณะที่จ่าอากาศโทวอลเตอร์ จะไปเอาเงิน จำเลยบอกว่าจะให้พวกจำเลยคนหนึ่งไปด้วยเป็นทำนองว่าเพื่อคุมตัวจ่าอากาศโทวอลเตอร์ โดยปริยาย แต่เมื่อมีผู้ทักท้วงขึ้นจำเลยก็มิได้ไปด้วย เพียงแต่ให้จ่าอากาศโทวอลเตอร์ลงชื่อในบันทึกการจับกุมไว้ให้เท่านั้น โดยกล่าวว่าถ้าไม่ยอมลงชื่อจะจับไปสถานีตำรวจ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จับควบคุมตัวจ่าอากาศโทวอลเตอร์ อันจะเข้าเกณฑ์ว่ามีการคุมขังแล้วดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191 ตามที่แก้ไขและมาตรา 204 การที่จำเลยให้จ่าอากาศโทวอลเตอร์ ไปเอาเงินจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 191 และ 204 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพลเรือนมีฐานะเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 86 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 5 เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยมานั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ สมควรแก้ให้ถูกต้องและเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้ตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวนี้ด้วย เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 191, 204 แล้ว ที่โจทก์ฎีกาขอให้เรียงกระทงลงโทษนั้น จึงตกไปในตัว
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 5 จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ตามที่แก้ไขประกอบด้วยมาตรา 86ส่วนกำหนดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์