คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 732-734/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายที่ดินมิได้มีบทบัญญัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้บุคคลมีสิทธิประกอบกิจการในที่ดินของรัฐได้ตามมาตรา 9 ดังนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจะมีอำนาจอนุญาตตามมาตรา 9 ได้ก็โดยรัฐมนตรีแต่งตั้งให้มีอำนาจอนุญาต ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ให้โจทก์มีสิทธิประกอบกิจการในที่ดินของรัฐ ด้วยการมีสิทธิขุดทรายในลำน้ำเจ้าพระยาแต่เพียงผู้เดียวเป็นอาณาเขต 100 ไร่ แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าคำสั่งกระทรวงมหาดไทยได้แต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตตาม ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9 ด้วยหรือไม่ จึงรับฟังว่ากระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9 ไม่ได้ และ รับฟังไม่ได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งอนุญาตให้โจทก์ยึดถือครอบครองเขตขุดทรายในลำน้ำเจ้าพระยา ตามคำฟ้องได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิใด ๆ โดยอาศัยใบอนุญาตดังกล่าว ฉะนั้นการที่จำเลยได้นำเรือเข้าไปขุดทรายในเขตที่โจทก์ได้รับอนุญาต แม้จะโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องและขอให้แก้ฟ้องใจความอย่างเดียวกันว่า โจทก์ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองโดยอาศัยมาตรา ๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินให้มีสิทธิประกอบกิจการในที่ดินของรัฐด้วยการมีสิทธิขุดทรายในลำแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งโจทก์แต่ละคนได้รับอนุญาตคนละ ๑๐๐ ไร่ มีกำหนด ๑ ปี ภายหลังโจทก์ได้รับต่อใบอนุญาตอีกมีกำหนด ๑ ปี การที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ขุดทรายได้นี้เป็นการได้รับอนุญาตให้ขุดทรายได้แต่ผู้เดียว ภายในเขตเนื้อที่ที่ได้รับอนุญาต ปรากฏตามหนังสือรับรองของผู้ว่าราชการจังหวัดท้ายฟ้อง ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๔ จำเลยทั้ง ๓๑ คนซึ่งไม่มีใบอนุญาตให้ขุดทรายได้ร่วมกันละเมิดสิทธิโจทก์นำเรือที่ติดตั้งเครื่องขุดทรายเข้าไปขุดทรายในบริเวณที่ โจทก์ได้รับอนุญาตเป็นต้นมาจนบัดนี้เป็นการกีดขวางการขุดทรายของโจทก์ทำ ให้โจทก์ทั้งสามสำนวนไม่อาจเข้าไปขุด ทรายตามสิทธิได้ โจทก์ทุกสำนวนต้องขาดประโยชน์ประมาณวันละ ๗๐,๒๐๐ บาท แต่โจทก์ขอคิดในขณะนี้เพียงสำนวนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาทก่อน ขอให้พิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารขุดทรายในที่ที่โจทก์ได้รับอนุญาต สั่งให้นำเรือ อุปกรณ์ในการขุดและบรรทุกทรายของจำเลยออกไปให้พ้นบริเวณที่โจทก์ได้รับอนุญาต ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในบริเวณที่โจทก์ได้รับอนุญาต ให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์แต่ละสำนวนเป็นเงินสำนวนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์แต่ละสำนวนวันละ ๗๐,๒๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายเรือ อุปกรณ์ในการขุดและบรรทุกทรายออกไปให้พ้นจากบริเวณที่โจทก์ได้รับอนุญาต
ก่อนสืบพยาน โจทก์ทั้งสามสำนวนขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓, ๔ และ ๑๘ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยนอกจากที่โจทก์ถอนฟ้องให้การว่า ลำแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตตำบลที่โจทก์ฟ้องเป็นที่ประเภทสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน ใบอนุญาตที่โจทก์อ้างเป็นหลักฐานการได้สิทธิการดูดทรายในลำแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นโมฆะ เพราะออกขัดกับกฎหมายเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๑๐ นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙ ก็มิได้ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดเอาที่ดินของรัฐให้เอกชนคนใดยึดถือ เช่าซื้อ หรือผูกขาดเก็บผลประโยชน์แต่ผู้เดียว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่มีอำนาจหวงห้ามมิให้ผู้อื่นทำการดูดทราย จำเลยไม่เคยดูดทรายในเขตที่ดินที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้องเพราะโจทก์ทั้งสามสำนวนดูดทรายอยู่ทุกวันฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า หนังสือรับรองของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ระบุว่า ให้โจทก์ทำการขุดทรายในเขตที่กำหนดได้แต่ผู้เดียว เป็นหนังสือรับรองที่ออกให้โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ แม้จำเลยจะเข้าไปขุดทรายในเขตที่โจทก์ได้รับอนุญาตโจทก์ก็เรียกร้องให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดไม่ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองได้อนุญาตให้โจทก์ทั้งสามขุดทรายในลำแม่น้ำเจ้าพระยาโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙ และคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยที่ ๒๕๘/๒๔๙๙ ลงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๙๙ ให้แบ่งเขตกันขุดรายละ ๑๐๐ ไร่ โจทก์ต้องเสียค่าตอบแทนให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อบำรุงท้องที่รายละ ๖,๐๐๐ บาท เขตที่ดินที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ขุดทรายได้นั้น ไม่อยู่ในเขตที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศหวงห้ามไว้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๔ อยู่ในระหว่างระยะเวลาที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ขุดทราย จำเลยได้นำเรือขุดทราย ๔๐ กว่าลำเข้าไปขุดทรายในเขตที่โจทก์ทั้งสามได้รับอนุญาตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง โจทก์จึงฟ้องคดีนี้
วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองสั่งอนุญาตให้โจทก์ขุดทรายโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙ ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๑ ให้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่” ไว้ “หมายความว่า เจ้าพนักงานซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายนี้ และพนักงานอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายนี้” ประมวลกฎหมายที่ดินมิได้มีบทบัญญัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตตามมาตรา ๙ ได้ ก็โดยรัฐมนตรีแต่งตั้งให้มีอำนาจอนุญาตตามมาตราที่กล่าวแล้ว ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาคงได้ความจากนายวิชาญ บรรณโสภิต ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองเพียงว่า นายวิชาญ บรรณโสภิตได้อนุญาตให้โจทก์กับพวกขุดทรายในลำน้ำเจ้าพระยาตามฟ้องโดยมีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ ๒๕๘/๒๔๙๙ ลงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๙๙ การอนุญาตให้โจทก์ขุดทรายนี้ได้อนุญาตให้แบ่งเขตกันขุดคนละ ๑๐๐ ไร่ ตามคำแนะนำของกรมที่ดิน คำสั่งของกระทรวงหมาดไทยดังกล่าวแล้วมีข้อความถึงการแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตตาม ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙ ด้วยหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ต้องนำสืบ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบจึงรับฟังว่ากระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมี อำนาจอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙ ไม่ได้ และรับฟังไม่ได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ยึดถือครอบครองเขตขุดทรายในลำน้ำเจ้าพระยา ตามฟ้องได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิใด ๆ โดยอาศัยใบอนุญาตที่โจทก์อ้างท้ายฟ้องและเมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิในเขตที่ลำน้ำเจ้าพระยาดังฟ้อง การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นละเมิดคดีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายต่อไป ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลของศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาของโจทก์ทั้งสามสำนวนฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share