คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8023-8032/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำนวนคดีที่ห้าถึงที่สิบ โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ที่ 1 ด้วย โจทก์ที่ 2 และที่ 3 จึงมิใช่คู่ความในคดี ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าว ส่วนสำนวนคดีที่สามและที่สี่ แม้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ที่ 1 ด้วยก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ที่ 3 เข้าร่วมเป็นโจทก์เนื่องจากคำฟ้องทั้งสองสำนวนดังกล่าวโจทก์ที่ 3 ไม่ใช่ผู้เสียหายด้วย โจทก์ที่ 3 จึงมิใช่คู่ความในคดี ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวเช่นกันการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีเข้าด้วยกัน หามีผลให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ที่ 1 ทุกสำนวนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีเข้าด้วยกันไม่
การที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งด้วยเรื่องผิดสัญญาซื้อขายที่ดินรวมใบอนุญาตและเครื่องจักรโรงงานอุตสาหกรรมนั้น เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่ง ซึ่งจำเลยทั้งสองยังมีข้อต่อสู้อยู่ ไม่แน่นอนว่าศาลจะพิพากษาคดีเป็นประการใด การบอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ และคดียังไม่ถึงที่สุด ถือไม่ได้ว่ามูลหนี้ตามที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คเพื่อให้ใช้เงินสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด แตกต่างจากกรณีที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว คดีจึงยังไม่เลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7

ย่อยาว

คดีทั้งสิบสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน และเพื่อความสะดวกในการพิจารณาให้ เรียกพนักงานอัยการว่า โจทก์ที่ 1 บริษัทสุมะโนแซนด์ โปรดัคส์ จำกัด ว่า โจทก์ที่ 2 นายเฉลิมพล ติรณพันธ์หรือ สุมโนพรหม ว่า โจทก์ที่ 3 นางสาววราพรหรือวราภรณ์ เทอมแพงพันธ์ ว่า จำเลยที่ 1 และพลตำรวจโท ชัยยุทธหรือสุริยะ โมรานนท์ ว่า จำเลยที่ 2 คดีทั้งสิบสำนวนโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ป.อ. มาตรา 83, 91 และขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ในสำนวนคดีที่สามถึงที่หกและที่เก้าติดต่อกัน กับนับโทษของจำเลยที่ 2 ในสำนวนที่หกถึงที่สิบติดต่อกัน
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องในสำนวนคดีที่หนึ่งและที่สองแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา บริษัทสุมะโน แซนด์ โปรดัคส์ จำกัด โจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในสำนวนคดีที่สามและที่สี่ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (1) (2) ตามเช็คฉบับแรก ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2538 (สำนวนคดีที่หนึ่ง) ลงโทษจำคุก 1 ปี และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 และที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 1 และให้ยกอุทธรณ์ของ โจทก์ที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4224 ถึง 4229/2540 (สำนวนคดีที่ห้าถึงที่สิบ) กับให้อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4222 ถึง 4229/2540 (สำนวนคดีที่สามถึงที่สิบ) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ประการแรกว่า โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4224/2540 ถึง 4229/2540 ของศาลชั้นต้น (สำนวนคดีที่ห้าถึงที่สิบ) และโจทก์ที่ 3 ได้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4222/2540 และ 4223/2540 ของศาลชั้นต้น (สำนวนคดีที่สามและที่สี่) แล้วหรือไม่ เห็นว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4224/2540 ถึง 4229/2540 ของศาลชั้นต้น (สำนวนคดีที่ห้าถึงที่สิบ) ทั้งหกสำนวนดังกล่าว โจทก์ที่ 2 และที่ 3 จึงมิใช่ คู่ความในคดี ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าว ส่วนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4222/2540 และ 4223/2540 ของศาลชั้นต้น (สำนวนคดีที่สามและที่สี่) นั้น แม้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ที่ 1 ด้วยก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ที่ 3 เข้าร่วมเป็นโจทก์ เนื่องจากคำฟ้อง ทั้งสองสำนวนดังกล่าวโจทก์ที่ 3 ไม่ใช่ผู้เสียหายด้วย โจทก์ที่ 3 จึงมิใช่คู่ความในคดี ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวเช่นกัน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีเข้าด้วยกัน หามีผลให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ที่ 1 ทุกสำนวนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีเข้าด้วยกันไม่ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4224/2540 ถึง 4229/2540 ของศาลชั้นต้น (สำนวนคดีที่ห้าถึงที่สิบ) และไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4222/2540 ถึง 4229/2540 ของศาลชั้นต้น (สำนวนคดีที่สามถึงที่สิบ) จึงชอบแล้ว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ประการต่อมามีว่า การที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสอง โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาไม่ชำระเงินตามเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 1 ออกให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เพื่อชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขาย เป็นเหตุให้หนี้ที่จำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อให้ใช้เงินได้สิ้นผลพูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ถือว่าคดีเลิกกันตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งด้วยเรื่องผิดสัญญาซื้อขายที่ดินรวมใบอนุญาตและเครื่องจักรโรงงานอุตสาหกรรมนั้น เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่ง ซึ่งจำเลยทั้งสองยังมีข้อต่อสู้อยู่ ไม่แน่นอนว่าศาลจะพิพากษาคดีเป็นประการใด การบอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ และคดียังไม่ถึงที่สุด ถือไม่ได้ว่ามูลหนี้ตามที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คเพื่อให้ใช้เงินสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด แตกต่างจากกรณีที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วโดยนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1671/2538 ซึ่งจำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้าง คดีจึงยังไม่เลิกกันตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

Share