คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7645/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้ดุลพินิจในการทำคำวินิจฉัยในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เพียงแต่คำวินิจฉัยของจำเลยไม่เป็นไปตามที่โจทก์ประสงค์เท่านั้น จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือจำเลยได้ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ อันจะถือได้ว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และ 421
จำเลยในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรีศาล และองค์กรอื่นของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 249 วรรคหนึ่ง และ 268 การทำคำวินิจฉัยของจำเลยเป็นขั้นตอนส่วนหนึ่งของการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 267การฟ้องขอให้คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะจะกระทำได้ต่อเมื่อมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้กระทำได้เท่านั้น เมื่อมิได้บัญญัติให้อำนาจบุคคลใดฟ้องเช่นนั้นได้ โจทก์จะอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 4 อันเป็นบททั่วไปมาเป็นมูลฐานฟ้องขอให้คำวินิจฉัยของจำเลยเป็นโมฆะหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครนายกเมื่อปี 2538 และปี 2539 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 จำเลยทั้งสามเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมีอคติมิชอบด้วยกฎหมายจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหายโดยจำเลยทั้งสามได้ทำคำวินิจฉัยในส่วนของตนขัดต่อรัฐธรรมนูญให้โจทก์พ้นจากสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง ๆ ที่จำเลยทั้งสามทราบดีว่า คำร้องของนายสิทธิชัย กิตติธเนศวร กับพวก ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเรื่องสมาชิกภาพของโจทก์นั้นเป็นการก้าวก่ายอำนาจของศาลยุติธรรมที่กำลังพิจารณากรณีที่โจทก์ถูกบุคคลอื่นฟ้องในเรื่องเดียวกันอยู่ ทั้งเรื่องคุณสมบัติเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาของโจทก์ก็มิใช่คุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ได้รับเลือกตั้งในปี 2539 แต่เป็นคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ซึ่งบัญญัติให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาด ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องสมาชิกภาพของโจทก์ อนึ่ง จำเลยทั้งสามได้ทราบว่าโจทก์ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ซึ่งทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของโจทก์สิ้นสุดลงแล้วนับแต่วันที่โจทก์ลาออก ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องสมาชิกภาพของโจทก์ต่อไป แต่จำเลยทั้งสามกลับให้รับคำร้องของนายสิทธิชัยกับพวกไว้ และวินิจฉัยให้โจทก์พ้นจากสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการกลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหาย เป็นการใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพของโจทก์ ซึ่งโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิทางศาลได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ขอให้พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420, 421 และคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสามเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันโจทก์ รัฐสภาคณะรัฐมนตรี ศาลและองค์กรอื่นของรัฐโดยขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการลบล้างคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสาม

ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นว่า หากศาลพิพากษาให้ตามคำขอท้ายฟ้อง จะมีผลกระทบต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมาตรา 268 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ ทั้งการกระทำของจำเลยทั้งสามตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่การกระทำโดยผิดกฎหมาย ไม่เป็นละเมิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสามได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ล้วนแต่มีความหมายแสดงให้เห็นได้โดยแจ้งชัดว่า เป็นกรณีการใช้ดุลยพินิจในการทำคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสามตามอำนาจหน้าที่ในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เพียงแต่คำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสามไม่เป็นไปตามทิศทางที่โจทก์ประสงค์เท่านั้น จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือจำเลยทั้งสามได้ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ อันจะถือได้ว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และ 421 ส่วนที่โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสามเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันโจทก์และองค์กรต่าง ๆนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสามในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 249 วรรคหนึ่งและ 268 การทำคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสามเป็นขั้นตอนส่วนหนึ่งของการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 267 การฟ้องขอให้คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะจะกระทำได้ต่อเมื่อมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้กระทำได้เท่านั้น เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มิได้บัญญัติให้อำนาจบุคคลใดฟ้องเช่นนั้นได้ โจทก์จะอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 4 อันเป็นบททั่วไปมาเป็นมูลฐานฟ้องขอให้คำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสามเป็นโมฆะหาได้ไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share